“สุพัฒนพงษ์” ย้ำให้คนไทยร่วมกันป้องกันไม่ให้โควิด-19 ระบาดรอบ 2 ไทยจะกลับมาดีกว่าเดิมแน่นอน เตรียมปฏิบัติการเชิงรุกปี 2564 ผนึกทุกส่วนร่วมพลังสร้างชาติประคับประคอง ศก. ปรับโฉมดึงลงทุน ปักหมุดปี 65 ศก.ไทยจะกลับมาเติบโตและแข็งแรงมากกว่าอดีต
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แสดงปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ ขับเคลื่อนประเทศไทย 2021 ในงาน Dinner Talk : Restart Thailand 2021 จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ว่า ปี 2564 สิ่งที่สำคัญที่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนต้องร่วมมือกันในการรักษาไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบ 2 โดยเด็ดขาด เพราะหากเกิดขึ้นและต้องล็อกดาวน์จะมีผลกระทบอย่างมากต่อประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรัฐบาลยังได้เตรียมพร้อมภารกิจที่ต้องทำต่อเนื่องในการเปลี่ยนแปลงไทยให้พร้อมรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงหลังโควิด-19 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปี 2564 เพื่อให้ปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตและแข็งแรงมากขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมา
“ปีนี้ก็เป็นปีที่อดทนกัน แต่เราก็ผ่านมาได้จากเดิมที่หลายคนมองว่าเศรษฐกิจจะติดลบ 9-10% วันนี้ก็ชัดเจนว่าเราติดลบเพียง 6% เท่านั้น แต่เราต้องรักษาไม่ให้โควิด-19 ระบาดรอบ 2 เป็นหน้าที่ของเราต้องป้องกันตราบใดที่วัคซีนยังไม่มีผลอย่างจริงจัง รัฐบาลเองห่วงใยประชาชนได้มีการสำรองและลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาทในการจองวัคซีนและโรงงานผลิตวัคซีนผลิตในไทยได้ สิ่งเหล่านี้จะต้องเกิดในไทย อีกปีเดียวเท่านั้น ขอเวลาอีก 1 ปีเราก็จะสามารถประคับประคองไปได้ และปี 2565 จะเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วยกัน เราจะไม่กลับไปเท่าเดิมแต่จะต้องดีกว่าเดิม” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลปี 2654 จะปฏิบัติการเชิงรุกร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สำนักงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัทใหญ่ๆ ในไทยในการสร้างชาติด้วยการดึงต่างชาติเข้ามาลงทุน ซึ่งอาจจะเห็นผลในปี 2565 แต่เราจะต้องเร่งทำไว้ รวมถึงสร้างโอกาสให้คนไทยมีที่ยืน แสวงหาจุดแข็ง สร้างอาชีพให้คนรุ่นใหม่ ซึ่งไทยถือว่าได้เปรียบที่มีความต่อเนื่องของรัฐบาลภายใต้การนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ดำเนินการมา 6 ปีด้วยการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกโครงสร้างพื้นฐานไว้รองรับโดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่จะมีถึง 14 สายในอีก 4-5 ปีข้างหน้า รวมไปถึงการวางโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่การลงทุนอีก 3-4 ปีจะแล้วเสร็จและจะเปลี่ยนประเทศไทยในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่จะเป็นตัวดึงดูดการลงทุน
นอกจากนี้ เขตนวัตกรรม ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในระบบเครื่องมือต่างๆ ที่ทันสมัยที่จะรองรับการลงทุนใหม่ๆ ที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น หุ่นยนต์ AI นอกเหนือจากนี้ไทยยังมีระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม 5G ที่นับเป็นระดับต้นๆ ของภูมิภาค ซึ่งรัฐบาลจะยกระดับปฏิบัติการเชิงรุกในปี 2564 และจะเห็นการลงทุนชัดเจนในปี 2565
“ระบบไฟฟ้า ดิจิทัล ท่าเรือเราพร้อมมาก และไทยกำลังปรับปรุงวิธีการทำงานอำนวยความสะดวกลงทุนที่ปีหน้าเป็นปีของการดึงดูด ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนประเทศไทยยุติพึ่งพิง 2-3 เรื่องเวลามีปัญหาก็มีปัญหาไปด้วย แต่สำคัญคือคนไทยต้องเชื่อมั่นก่อนเราต้องร่วมมือกัน และอุตสาหกรรมที่เป็นเทรนด์คือยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ไทยจะก้าวไปได้ไม่ยาก และเมื่อโลกกำลังมุ่งลดภาวะโลกร้อนไทยก็มีความพร้อมในด้านพลังงานสะอาด เราจะเป็นศูนย์กลางในสิ่งเหล่านี้ได้ และนี่จะเป็นอีกจุดแข็งของการลงทุนนอกเหนือจากสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เราพร้อมมาก” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว