“จุรินทร์” ประชุมร่วมภาคเอกชนอินเดีย ประเดิมทำ “มินิเอฟทีเอ” ระหว่างไทยกับรัฐเตลังกานา เตรียมเสนอ ครม.อนุมัติ ก่อนลงนามปลาย ม.ค. 64 มั่นใจช่วยอำนวยความสะดวกและขยายการค้าไทย-อินเดียได้เพิ่มขึ้น เล็งลุยเจรจาต่อกับอีก 5 รัฐเป้าหมาย
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือกับ 3 ภาคเอกชนด้านการค้าไทย-อินเดีย คือ หอการค้าอินเดีย-ไทย สมาคมธุรกิจอินเดีย-ไทย และสภาธุรกิจไทย-อินเดีย ว่าได้มีการหารือกันว่าไทยกับอินเดียควรจะมีการทำการค้าเชิงลึกระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการทำข้อตกลงทางการค้าให้เพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ คือ เอฟทีเอไทย-อินเดีย และเอฟทีเออาเซียน-อินเดีย โดยเห็นตรงกันที่จะทำมินิเอฟทีเอเพื่อช่วยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าเชิงลึกระหว่างไทยกับแต่ละรัฐได้มากขึ้น ซึ่งในส่วนของอินเดียได้มีการยกร่างการทำมิมิเอฟทีเอระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของไทยกับรัฐเตลังกานาของอินเดียเสร็จแล้ว จากนี้จะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบ เมื่อให้ความเห็นชอบแล้วจะมีการลงนามกันต่อไป กำหนดวันไว้เบื้องต้นในช่วงเดือนปลาย ม.ค. 2564
สำหรับรายละเอียดในมินิเอฟทีเอ เช่น การอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกัน การเชื่อมโยงการค้าออนไลน์กับแพลตฟอร์มต่างๆ ของอินเดีย การส่งเสริมสตาร์ทอัพ การขยายมูลค่าการค้า และการให้สิทธิประโยชน์ทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เป็นต้น
ทั้งนี้ หลังจากลงนามมินิเอฟทีเอกับรัฐเตลังกานาแล้วจะมีการเตรียมการสำหรับรัฐอื่นของอินเดียเพื่อทำมินิเอฟทีเอระหว่างกันเพิ่มขึ้นด้วย มีเป้าหมาย 5 รัฐ ได้แก่ 1. รัฐคุชราต 2. รัฐกรณาฏกะ 3. รัฐมหาราษฏระ 4. รัฐเคเรล่า และ 5. รัฐ 8 สาวน้อย หรือรัฐอัสสัม เพื่อร่วมมือกันในการขยายการค้าเชิงลึกต่อไป
ส่วนสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการขยายตลาดอินเดีย ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง ที่อินเดียมีความต้องการเพิ่มขึ้นจากนโยบายส่งเสริมให้คนมีบ้าน ไม้ยางและเฟอร์นิเจอร์เพื่อตกแต่งบ้าน อาหาร เพราะคนอินเดียคุ้นเคยกับอาหารไทย และมีรสชาติใกล้เคียงกัน รวมถึงอาหารมังสวิรัติ ผลไม้ ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น ของเล่นเด็กที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี และอาหารสัตว์เลี้ยงที่กำลังขยายตัวตามความต้องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีเพิ่มขึ้น รวมถึงไบโอพลาสติกที่อินเดียมีนโยบายแบนพลาสติกทำให้ความต้องการสูงขึ้น
นายสาธิต เซกัล ประธานสมาคมธุรกิจอินเดีย-ไทย กล่าวว่า ได้เสนอให้มีการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อินเดีย เพราะเอฟทีเอเดิมที่มีอยู่ เป็นการเปิดเสรีบางส่วน ต้องมีเอฟทีเอเต็มรูปแบบถึงจะช่วยขยายการค้าการลงทุนไทย-อินเดียได้เพิ่มขึ้น และต้องวางแผนในการขยายตลาดสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ผลไม้ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีโอกาสขยายตัวสูง รวมทั้งต้องวางแผนเจาะกลุ่มประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีลงไป ซึ่งมีถึง 40% ของประชากรทั้งหมด 1,300 ล้านคน กลุ่มเศรษฐกิจที่มีประมาณ 300 ล้านคน และเจาะเป็นรายรัฐ โดยเฉพาะรัฐ 8 สาวน้อยที่คนส่วนใหญ่มีเชื้อสายไทย