ทีพีไอโพลีน เพาเวอร์ คาดผลประกอบการไตรมาส 4 นี้ต่ำกว่าไตรมาส 3/63 เหตุโรงปูนทีพีไอโพลีนปิดซ่อมบำรุงทำให้การใช้ไฟลดลง แต่ปี 64 ผลดำเนินงานดีขึ้น ส่วนการประมูลโรงไฟฟ้าขยะที่สงขลา รู้ผลในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์จำกัด (มหาชน) (TPIPP) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/63 คาดว่าจะต่ำกว่าไตรมาส 3/63 ที่มีรายได้ 3,011 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,206 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 4/2563 โรงปูนซีเมนต์ของบริษัทแม่ได้ปิดซ่อมบำรุง ทำให้การขายไฟให้โรงปูนซีเมนต์ลดลงไปด้วย อย่างไรก็ดี มั่นใจว่าไตรมาส 4 นี้จะมีการใช้อัตรากำลังการไฟฟ้าอยู่ที่ระดับ 95% เป็นผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อเนื่องจากการเพิ่มหม้อต้มไอน้ำ (Boiler)
ในปี 2564 บริษัทฯ มั่นใจมีผลประกอบการดีขึ้นกว่าปีนี้ เนื่องจากโรงปูนซีเมนต์ของทีพีไอโพลีนมีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งบริษัทมีการเพิ่มประสิทธิภาพทำให้มีการใช้อัตราการผลิตเต็มที่ใกล้ระดับ 100% เพิ่มรายได้ในการขายไฟให้การไฟฟ้าราว 10% และรายได้จากการขายไฟให้โรงปูนของบริษัทแม่เพิ่มขึ้น 5-20% และรับรู้รายได้จากการขายเชื้อเพลิงจากขยะอัดแท่ง (RDF) ให้แก่โรงปูนของบริษัทแม่ปีละ 1,200-1,500 ตัน เพื่อลดการใช้ถ่านหิน คาดว่ารับรู้รายได้เพิ่มราว 300-400 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนลงทุนโรงไฟฟ้าอีกหลายโครงการรวม 143 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่เป็นโครงการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าขยะที่จะเปิดประมูลในแต่ละจังหวัด โดยได้ยื่นประมูลโครงการจัดการขยะมูลฝอย องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา ที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ ขนาดกำลังผลิต 10 เมกะวัตต์ คาดว่าใน 2 สัปดาห์ข้างหน้าจะประกาศผู้ชนะประมูล รวมทั้งบริษัทได้ยื่นเสนอขายไฟจากโรงไฟฟ้า TG7 อีก 40 เมกะวัตต์ต่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งแผนการขยายกำลังการผลิตดังกล่าวจะทำให้บริษัทรักษารายได้อยู่ที่ระดับปีละ 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯ ชนะประมูลโครงการฯ ที่ จ.สงขลา ก็จะดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ คาดใช้เงินลงทุนเกือบ 2,000 ล้านบาท เพื่อผลิตไฟฟ้ากำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ แต่ทำสัญญาขายไฟ 8 เมกะวัตต์ และใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี คาดว่าจะจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2566
หากมีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบสองจนทำให้ไทยต้องปิดประเทศอีกครั้ง เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ เนื่องจากการปิดประเทศในช่วงไตรมาส 2/63 บริษัทก็มีผลประกอบการดีขึ้น เนื่องจากประชาชนยังมีความต้องการใช้ไฟอยู่ไม่ว่าจะล็อกดาวน์ประเทศก็ตาม