กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผยแพร่ผลศึกษาประโยชน์และผลกระทบการทำเอฟทีเอไทย-อียู ระบุหากมีการยกเลิกภาษีนำเข้าหมดดันจีดีพีเพิ่ม 1.28% มูลค่า 2.05 แสนล้านบาทต่อปี ส่งออกไปอียูเพิ่ม 2.83% หรือ 2.16 แสนล้าน คนจนลด 2.7 แสนคน รายได้เกษตรกรเพิ่ม 1.1% แต่มีประเด็นท้าทาย ทั้งการคุ้มครองสิทธิบัตรยา พันธุ์พืช เตรียมสรุปเสนอ “จุรินทร์” ก่อนนำเข้า กนศ. และ ครม.อนุมัติไทยเข้าร่วมเจรจา
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้ผลการศึกษาประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ที่ทำการศึกษาโดยสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี) ได้ดำเนินการเสร็จแล้ว และได้นำขึ้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ www.dtn.go.th แล้วเช่นเดียวกัน เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้าไปดูรายละเอียด และในส่วนของกรมฯ จะนำผลการศึกษา ผลการรับฟังความคิดเห็น และกรอบการเจรจา นำเสนอต่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิจารณา ก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) จากนั้นเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติให้ไทยไปเจรจากับอียูต่อไป คาดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นปี 2564
ผลการศึกษาพบว่า หากไทยและอียู 27 ประเทศ ไม่รวมสหราชอาณาจักร เพราะได้ออกจากอียูไปแล้ว ทำการยกเลิกภาษีนำเข้าระหว่างกันหมด จะช่วยให้จีดีพีของไทยขยายตัวในระยะยาว 1.28% คิดเป็นมูลค่า 2.05 แสนล้านบาทต่อปี การส่งออกของไทยไปอียูเพิ่มขึ้น 2.83% หรือ 2.16 แสนล้านบาทต่อปี และการนำเข้าจากอียูเพิ่มขึ้น 2.81% หรือ 2.09 แสนล้านบาทต่อปี โดยสินค้าส่งออกของไทยที่มีโอกาสขยายตัวและเข้าถึงตลาดอียูได้ง่ายขึ้น เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าและสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์อาหาร เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก เป็นต้น
ส่วนการเปิดเสรีภาคบริการในสาขาสำคัญ เช่น สิ่งแวดล้อม การจัดส่งสินค้า การเงินและประกันภัย และการขนส่งทางทะเล จะช่วยลดต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 5% หรือ 8.01 แสนล้านบาท และการประเมินผลมิติด้านสังคมในภาพรวม พบว่าเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะทำให้จำนวนคนจนลดลง 2.7 แสนคน รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 1.1% และช่องว่างความยากจนลดลง 0.07%
ทั้งนี้ ในการทำเอฟทีเอมีประเด็นที่ท้าทาย คือ มีเรื่องการยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการคุ้มครองสิทธิบัตรจากความล่าช้าในการขึ้นทะเบียนวางตลาดยา การผูกขาดข้อมูลเพื่อขออนุมัติวางตลาดยา การให้ความคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ตามแนวทาง UPOV 1991 และการคุ้มครองสิทธิแรงงานตามแนวทางของแรงงานโลก (ILO) ซึ่งจะส่งผลให้ไทยมีค่าใช้จ่ายด้านยารักษาโรค และเมล็ดพันธุ์พืชสูงขึ้น แต่ต้องนำค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปประเมินหักลบกับประโยชน์ที่จะเกิดแก่รายได้ของเกษตรกร ปริมาณผลผลิตภาคเกษตร และทางเลือกในการซื้อเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในด้านการเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ จะทำให้ภาครัฐได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและมีตัวเลือกมากขึ้น ราคาถูกลง ถึงแม้ว่าธุรกิจภายในประเทศอาจต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้น แต่คาดว่าไม่กระทบต่อ SMEs มากนัก เนื่องจากโครงการที่ SMEs เข้าร่วมประมูลส่วนใหญ่มีมูลค่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องเปิดให้มีการแข่งขันประมูล
“ประโยชน์และผลกระทบจากการศึกษาดังกล่าวตั้งอยู่บนสมมติฐานเชิงวิชาการ ซึ่งในทางปฏิบัติกรมฯ ยังจำเป็นต้องหารือกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การจัดทำท่าทีการเจรจาแต่ละประเด็นมีความรอบคอบ รัดกุม และเกิดประโยชน์ภาพรวมต่อประเทศสูงสุด รวมทั้งการหาแนวทางรองรับและปรับตัวต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น” นางอรมนกล่าว