ไทยเบฟ ผงาดครองแชมป์อันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 บนตาราง Industry Leader ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม จาก DJSI สะท้อนความเป็นนำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรที่ยั่งยืนระดับโลก
นับเป็นการตอกย้ำความพร้อมด้านศักยภาพทางธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจร และองค์กรแห่งความเป็นเลิศในทุกมิติอีกครั้ง เมื่อบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืน ดาวโจนส์ (The Dow Jones Sustainability Indices-DJSI) โดยเป็นสมาชิกของ DJSI Emerging Markets Index กลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 5 และประเภทกลุ่มดัชนีโลก (World Index) เป็นปีที่ 4 และที่ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นเบอร์ 1 Industry Leader ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 3
ในโอกาสนี้ “โฆษิต สุขสิงห์” รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง ผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนของไทยเบฟ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดอันดับของ DJSI ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยเบฟครองแชมป์เป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง คือการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานคุณค่าใน 3 มิติ ซึ่งประกอบไปด้วยมิติทางด้านเศรษฐกิจ มิติทางสังคม และมิติด้านสิ่งแวดล้อม
“การจัดอันดับดัชนีความยั่งยืน เขาจะให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ เรียกว่า มิติดัชนีความยั่งยืน คือเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในส่วนของเศรษฐกิจและสังคม เราได้คะแนน Top สุดอยู่แล้ว และสำหรับปีนี้ สิ่งที่น่าชื่นใจขึ้นมาอย่างมากก็คือ เปอร์เซ็นไทล์ในด้านสิ่งแวดล้อมของเรา ขึ้นมาแตะที่ 96 ซึ่งสูงมาก เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน นั่นก็แปลว่า เรามีการบริหารจัดการในเรื่องของคุณค่าทางด้านสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้นด้วย นี่คืออีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเรา”
โดยผลงานเด่น ๆ ในด้านสิ่งแวดล้อมที่เห็นเป็นรูปธรรม คือการนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งโฆษิต สุขสิงห์ บอกว่า ความสำเร็จนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดีงามมาก เนื่องจากไม่ใช่เป็นเพียงการนำเทคโนโลยีมาบริหารจัดการน้ำเพื่อองค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้นำเทคโนโลยีเข้าไปใช้ในการบริหารจัดการน้ำกับสังคมและชุมชนที่อยู่รอบข้างด้วย
“เพราะเราเป็นบริษัทเครื่องดื่ม ดังนั้น น้ำจึงถือเป็นต้นน้ำของธุรกิจของเราและมีความสำคัญมาก ซึ่งเทคโนโลยีที่ทางเรานำมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คือเทคโนโลยีดาวเทียมที่นำมาวิเคราะห์เรื่องการ Flow (ไหล) ของน้ำ สมมุติว่าบ้านใครอยู่ใกล้น้ำ คุณก็จะคิดตลอดเวลาว่ามันมีล้นเหลือ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเราเข้าใจ คือน้ำที่ไหลมาเต็มอยู่ทุกวันนี้ คุณภาพมันไม่เหมือนเดิม คนที่อยู่ชุมชนเขาอาจจะไม่ได้กังวล แต่พอเรามองจากภาพมุมสูงผ่านเทคโนโลยีดาวเทียม เราสามารถบอกได้ว่าการไหลของน้ำ ได้กวาดเอาสิ่งอื่น ๆ ติดมาด้วย เช่น ขยะ สิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ที่ชุมชนอื่นอาจจะสร้างขึ้น หรือโรงงานอื่นสร้างขึ้น แต่ทั้งหมดมันมีผลทำให้เกิดปัญหาต่อคุณภาพของน้ำได้”
หลังจากนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาวิเคราะห์และได้ข้อมูลแล้ว ก็นำไปแบ่งปันแก่สังคมที่อยู่รอบ ๆ แหล่งผลิต 34 พื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกันในปีต่อ ๆ ไป โดยโฆษิต สุขสิงห์ มองว่า นี่คือหนึ่งหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการความยั่งยืน มีประโยชน์ทั้งต่อองค์กรและมีคุณค่าที่แบ่งปันให้กับสงคมไปด้วยในขณะเดียวกัน
“สำหรับไทยเบฟ เราดำเนินธุรกิจด้วยการสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตสู่สังคมไทย ด้วยการคำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มจากการอนุรักษ์น้ำและทรัพยากรธรรมชาติไปจนถึงกระบวนการผลิตที่คำนึงความพอเพียง และยังมีอีกหลากหลายกิจกรรมที่สร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมไทยโดยรวม นับเป็นการสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต ทั้งหมดนี้เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ และพันธกิจขององค์กรที่มุ่งไปสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่ใส่ใจด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับโลก”
ขณะที่ในด้านเศรษฐกิจเพื่อความยั่งยืน ในปีที่ผ่านมานี้ ไทยเบฟก็ได้มีการสร้าง Platform ในการ Collaboration ดึงบริษัทที่มีผลงานโดดเด่นด้านความยั่งยืนมาเป็นพันธมิตรในการร่วมมือพัฒนาความยั่งยืนร่วมกัน โดยสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเห็นเป็นรูปธรรมแล้วก็คือ การที่ไทยเบฟได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้ง Thailand Supply Chain Network (TSCN) เพื่อเชื่อมโยงภาคธุรกิจในประเทศไทยในการปกป้องมูลค่าของการลงทุน (Protecting the value) สร้างเสริมคุณค่าของการลงทุน (Creating the value) และสร้างนวัตกรรมและต่อยอดการลงทุน (Innovating the value) ของภาคธุรกิจทั้งในประเทศไทยและประเทศคู่ค้าต่าง ๆ โดยในอนาคต เครือข่าย TSCN มีแผนงานที่จะขยายขอบเขตการบูรณาการความร่วมมือไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน
นอกจากนี้แล้ว ไทยเบฟยังได้ต่อยอดแนวทางการสร้างความยั่งยืนด้วยการดึงขีดความสามารถของบริษัทไทย ผ่านการสร้างแพลตฟอร์ม “Thailand Sustainability Expo (TSX) 2020” ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ความร่วมมือครั้งสำคัญขององค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนของประเทศไทยที่มาร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน
“สิ่งนี้นับเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ผู้ร่วมงานเกิดแรงบันดาลใจในการร่วมมือกันเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ถือเป็นเวทีของการรวมกลุ่ม Thailand Shapers เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อโลก ตามแนวคิด พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” โฆษิต สุขสิงห์ กล่าวย้ำด้วยความเชื่อมั่น
และอย่างที่รู้กันว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับทั่วโลก ซึ่งทำให้หลายธุรกิจต้องหยุดชะงักหรือแม้กระทั่งปิดตัวไป อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ก็ยังคงมุ่งมั่นในการผลิตโปรดักต์ใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในด้านเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
“ช่วงที่ผ่านมา แนวโน้มตลาดเขามุ่งไปทางสุขภาพ เราก็จะมีผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ออกมาอีกค่อนข้างเยอะ คือเน้นสุขภาพมากขึ้น ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา เรื่อง Health & Nutrition เราได้คะแนนระดับ Perfect Score จาก DJSI ซึ่งตามจริง ไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพราะในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด เรายังสามารถสร้างแอพพลิเคชั่นขึ้นมาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและคุณภาพความเป็นอยู่ให้กับพนักงานของเราที่ใช้สมาร์ทโฟนได้สูงถึง 94% ส่วนที่เหลืออีก 6% คือพนักงานที่ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟน”
แน่นอนว่า จากความสำเร็จในฐานะเบอร์ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จาก DJSI นอกจากจะเป็นการตอกย้ำยืนยันถึงศักยภาพในการบริหารจัดการความยั่งยืนของไทยเบฟแล้ว ยังนับเป็นความท้าทายสำหรับไทยเบฟด้วยในด้านหนึ่ง ซึ่งสำหรับโฆษิต สุขสิงห์ กล่าวด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงเชื่อมั่นเป็นการทิ้งท้ายว่า
“สำหรับผม ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบ ความท้าทายคือทำอย่างไร ถึงจะรักษามาตรฐานได้ เราได้ประโยชน์จากการเรียนรู้แนวคิดของฝรั่ง แต่ถัดไป คือจะรักษามาตรฐานเดิมจากการที่เราเรียนรู้มาจากเขา และจะสร้างมาตรฐานใหม่ที่สอดคล้องกับความเป็นตัวเรามากกว่าแล้วทำให้ดีกว่า อันนี้เป็นความท้าทายของเราครับ”