กลุ่มเทรดดิ้ง ปตท.เจอพิษโควิด-19 หดปริมาณการค้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปีนี้ลง 8-10% จากปีก่อนอยู่ที่ 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน ยันปีหน้ากลับสู่ภาวะปกติ เหตุเปิดสำนักงานตัวแทนในสหรัฐฯ และอาบูดาบีช่วยกระตุ้นการค้าปิโตรเลียม พร้อมจับมือ 3 โรงกลั่นในกลุ่ม ปตท.ผุด Project One วางเป้า 5 ปีสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายดิษทัต ปันยารชุน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศหรือกลุ่มเทรดดิ้งคาดว่าจะมีปริมาณการค้าขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ครอบคลุมทั้งน้ำมันสำเร็จรูป คอนเดนเสท ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ลดลง 8-10% จากปีก่อนที่มีปริมาณการเทรดดิ้งราว 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลงจากเดิม 100 ล้านบาร์เรล/วันเหลือเพียง 90 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้ต้องระมัดระวังในการทำธุรกิจ แต่ในปีนี้กลุ่มเทรดดิ้งยังสร้างกำไรให้ ปตท.อยู่ แม้ว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจเทรดดิ้งจะลดลงก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้ากลุ่มเทรดดิ้งตั้งเป้าหมายจะมีปริมาณการค้าขายน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลับมาสู่ระดับปกติเท่าปี 2562 อยู่ที่ 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน เนื่องจากเห็นว่าในปี 2564 ความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกจะยังไม่กลับสู่ภาวะปกติที่ระดับ 100 ล้านบาร์เรล/วัน แต่มีปริมาณการทำเทรดดิ้งเพิ่มขึ้นในปี 2564 หลังจากจัดตั้งบริษัทในเครือและสำนักงานตัวแทนเพิ่มขึ้นที่เมืองฮิวสตัน รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา และเมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยก่อนหน้านี้ ปตท.ได้เปิดสำนักงานฯ ที่สิงคโปร์, เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน, เมืองลอนดอน สหราชอาณาจักร
ขณะเดียวกัน ได้ตั้งเป้าหมายการทำเทรดดิ้งในสหรัฐฯ ราว 3 หมื่นบาร์เรล/วัน เนื่องจากสหรัฐฯ ก้าวมามีบทบาทสำคัญในฐานะประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก มีโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการผลิตมากที่สุด และเป็นหนึ่งใน Oil Price Hub ที่สำคัญของโลก จึงเป็นจิ๊กซอสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถให้กลุ่ม ปตท.ในการขยายฐานการค้าให้ครอบคลุมทุกภาคทั่วโลก โดยในปี 2564 กลุ่มเทรดดิ้งวางเป้าหมายการขยายสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศในส่วนของ out-out เพิ่มเป็น 50% ของปริมาณการเทรดอยู่ที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีนี้ out-out มีสัดส่วนอยู่ที่ 48%
นายดิษทัตกล่าวต่อไปว่า ทางกลุ่มเทรดดิ้งยังได้จัดทำแผนสร้างมูลค่าเพิ่ม (Synergy) ร่วมกับกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมปลายน้ำในเครือ ปตท. ประกอบด้วย 3 โรงกลั่น คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ภายใต้ Project One ซึ่งจะมีการบริหารจัดการและจัดซื้อน้ำมันดิบร่วมกันเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการจัดซื้อน้ำมันดิบปริมาณมาก และไม่เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน โดยปัจจุบันโครงการนี้ฯ อยู่ระหว่างจัดทำแผนการดำเนินการร่วมกัน ตั้งเป้าหมายจะเริ่มเทรดร่วมกันในปี 2564 คาดว่าสร้างผลประโยชน์ร่วมราว 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3,200 ล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า
ส่วนการทำเทรดดิ้งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในปีนี้อยู่ที่ 9 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีการเทรดดิ้งอยู่ 4 แสนตัน และปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านตัน โดยล่าสุดกลุ่มเทรดดิ้งได้มีการทำการขาย LNG ล่วงหน้าแล้ว 4 แสนตัน ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์โลกที่มีการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งราคา LNG ในตลาดโลกต่ำ กอปรกับความต้องการใช้ LNG ในไทยมีปริมาณอยู่ที่ 5-6 ล้านตัน/ปี ขณะที่ ปตท.มีสถานีรับจ่าย LNG รองรับได้ถึง 19 ล้านตันในปี 2565 ควบคู่กับการผลักดันให้ไทยศูนย์กลาง LNG ในภูมิภาคนี้