ผู้จัดการรายวัน 360 - JKN เดินเกมหนักตั้งเป้า 3 ปีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 50% ก้าวสู่ Global Company จากขณะนี้ 30% ชี้แนวโน้มไตรมาส 3/63 โตก้าวกระโดดจากแผนรุกหนักขยายตลาดต่างประเทศ โค้งสุดท้ายเตรียมปิดการขายลูกค้ารายใหม่เพิ่ม หลังปรับกลยุทธ์ทำตลาดประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ คาดสามารถเทรดบนกระดานซื้อขายหลักทรัพย์เข้าสู่ SET ได้ทันภายในปลายปีนี้
จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์คอนเทนต์หลังวิกฤต COVID-19 มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้งในและต่างประเทศต่างชะลอการผลิตคอนเทนต์แล้วหันมาซื้อลิขสิทธิ์สำเร็จรูปเพื่อนำไปออกอากาศแทนการผลิตรายการเอง จึงเป็นโอกาสทองของ JKN ในการทำตลาดเพื่อจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศได้มากขึ้น
ปี 2563 นี้ถือเป็นปีที่ดีของ JKN สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด จากจุดแข็งด้านลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่ นำมาจำหน่าย มีความหลากหลายรายการและครอบคลุมใน 8 กลุ่มคอนเทนต์ทั้งสาระและความบันเทิงครบทุกรูปแบบ ในลักษณะสิทธิ Output Deal จากเจ้าของสิทธิ์ที่เป็นแบรนด์ดังระดับโลก ตลอดจนความเชี่ยวชาญในการทำตลาดตลอดจนความเชี่ยวชาญในการคัดสรรคอนเทนต์ที่นำมาจำหน่าย
รวมทั้งการรุกขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง หลังจากมีการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในตลาดอาเซียนไปแล้วกว่า 100 เรื่อง ใน 7 ประเทศ กัมพูชา สปป.ลาว พม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย เกาหลี และไต้หวัน เพื่อออกอากาศผ่านช่องทีวีดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือ OTT ส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศมากกว่า 30% ของยอดขายรวมทั้งหมด อีก 3 ปีเป้าหมาย 50%
ครึ่งปีหลังบริษัทฯ ยังขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 /2563 JKN สามารถจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์อินเดียและฟิลิปปินส์ให้แก่มาเลเซียและกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มขึ้น รวมถึงทยอยส่งมอบคอนเทนต์ซีรีส์ละครไทยจากช่อง 3 ให้แก่ TV5 ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดรายการฟรีทีวีช่องหลักของประเทศฟิลิปปินส์ ขณะที่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ บริษัทฯ มีการขยายฐานลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มเติมทั้งในกลุ่มประเทศแถบละตินอเมริกา บรูไน ไต้หวัน ศรีลังกา บังกลาเทศ แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และภูฏาณ ซึ่งส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในปีนี้
“กลยุทธ์เติบโตของเราในช่วงครึ่งปีหลังมาจากการรุกขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ ในตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง ในปีนี้น่าจะเติบโต 10-15% คาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเติบโตขึ้นและต้องการมีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเป็น 50% ภายในอีก 3 ปี สู่การเป็นบริษัท Global Company” จักรพงษ์กล่าว
นายธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี JKN กล่าวว่า ครึ่งแรกปี 2563 เติบโต 20% มีกำไร 167 ล้านบาท โต 10% แนวโน้มปี 2563 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเติบโตดีกว่าปีก่อน รายได้น่าจะใกล้เคียงที่ตั้งไว้ที่ 2,000 ล้านบาท คาดว่ากำไรขั้นต้นในปีนี้จะสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 40% หรือเป็นประมาณ 45% และคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในปี 2564
เนื่องจากต้นทุนลิขสิทธิ์รายการที่มีมากกว่า 80% ที่บริษัทฯ ซื้อมาในปี 2563 นี้มีการบริหารต้นทุนที่ดี และเป็นการซื้อเผื่ออนาคตด้วย สร้างรายได้จากการจำหน่ายคอนเทนต์มากขึ้น ระยะเวลาลิขสิทธิ์เพิ่มเป็น 5 ปี 7 ปี ได้ลูกค้าต่างประเทศตลาดใหม่เพิ่ม เช่นตะวันออกกลาง และเอเซียใต้ อีกทั้งได้ลูกค้าประเภทแพลตฟอร์มโอทีทีด้วยจากเดิมจะเป็นทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี ทีวีดิจิทัล ในต่างประเทศเป็นหลัก มีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ หลังปรับกลยุทธ์ทำตลาดและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ ทดแทนการไปออกบูทในต่างประเทศ การบริหารและควบคุมลูกหนี้คงค้างได้อย่างเหมาะสม โดยมีลูกหนี้การค้าทั้งในและต่างประเทศทยอยชำระคืนหนี้คงค้างมาอย่างต่อเนื่อง
โดยโครงสร้างรายได้ 90% มาจากการขายคอนเทนต์ อีก 10% มาจากการผลิตและโฆษณา ซึ่งขณะนี้มี 3-4 โครงการใหญ่ดำเนินการ ปัจจุบันมีลิขสิทธิ์คอนเทนต์รวมมากกว่า 3,000 เรื่องหรือรวมกว่า 20,000 ชั่วโมง ทั้งซีรีส์อินเดีย จีน สารคดี ซึ่งปี 2563 นี้ใช้งบลงทุนซื้อคอนเทนต์สูงมากถึง 1,500-1,800 ล้านบาท แต่คาดว่าปีหน้าจะกลับมาสู่ในระดับปกติที่ใช้เฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านบาท
ส่วนความคืบหน้าการนำหลักทรัพย์ JKN เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั้น ได้ยื่นเอกสารแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาจากสำนักงาน ก.ล.ต. คาดว่า JKN จะซื้อขายในกระดานหลักทรัพย์ SET ได้ทันภายในปีนี้