บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ จับมือภาคธุรกิจชั้นนำภายใต้สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand : GCNT) ใช้แนวทางความยั่งยืน ร่วมเดินหน้าฟื้นฟูประเทศไทยรอบด้านหลังวิกฤตโควิด-19 ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รองรับวิถีปกติใหม่ (New Normal) ยกระดับความปลอดภัยสูงสุดของบุคลากรสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงาน ร่วมผลิตอาหารให้เพียงพอเพื่อเลี้ยงคนไทยทั้งประเทศ
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารซีพีเอฟ กล่าวในการเสวนา “Thailand Business Leadership for SDGs 2020” ในหัวข้อผู้นำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนตามวิถีใหม่ด้านมนุษยชนและแรงงาน จัดโดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand : GCNT) ว่า ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจำเป็นต้องคำนึงถึงการบริหารจัดการรอบด้านอย่างเป็นระบบ ให้ธุรกิจดำเนินไปได้โดยไม่หยุดชะงัก โดยที่บุคลากรเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายได้
ซีพีเอฟให้ความสำคัญต่อการป้องกันและคุ้มครองพนักงานทุกคน โดยออกมาตรการด้านสุขอนามัยและการตรวจสอบทั้งก่อนเข้าปฏิบัติงาน ระหว่างปฏิบัติงาน และหลังปฏิบัติงานอย่างเข้มงวด โดยยกระดับมาตรการความปลอดภัยสูงสุดทั้งกระบวนการผลิตอาหารและพนักงาน เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานได้รับการดูแลอย่างดีและอาหารมีความปลอดภัยสูงสุด สนับสนุนการผลิตให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อาหารมีเพียงพอต่อการบริโภค
จนถึงขณะนี้บริษัทยังคงมาตรการความปลอดภัยสูงสุดและมาตรการเฝ้าระวังโรคไว้อย่างเคร่งครัด และยังซื้อประกันภัยส่วนบุคคลเพิ่มให้แก่พนักงานขายที่ต้องพบปะลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นใจในการทำงาน ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทฯ ปฏิบัติมาตั้งแต่เกิดการระบาดของโรค ควบคู่ไปกับบูรณาการเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) มาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการเข้าถึงอาหารของประชาชน
“ซีพีเอฟเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารด้วยความรับผิดชอบต่อประเทศไทยและคนไทยในรูปแบบของการผลิตอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อให้คนไทยทุกคนเข้าถึงอาหารได้โดยไม่ขาดแคลน และยังถ่ายทอดความมุ่งมั่นเหล่านี้ไปยังพนักงานให้รับผิดชอบตัวเองและประเทศควบคู่กันไป” นายประสิทธิ์กล่าว
นายประสิทธิ์กล่าวต่อไปว่า นอกจากมาตรการสุขอนามัยที่เข้มงวดของพนักงานแล้ว บริษัทฯ ยังเพิ่มการอบรมทักษะเพื่อรับ New Normal เพิ่มเติมเป็นประสบการณ์ให้พนักงาน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและป้องกันการว่างงาน ซึ่งในช่วงวิกฤตที่ผ่านมาซีพีเอฟไม่มีการปลดพนักงานเลย
ซีพีเอฟตระหนักดีว่าผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลกจากโควิด-19 และสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป เป็นปัจจัยนำไปสู่การแข่งขันที่มากขึ้น ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัดของแต่ละองค์กรและของประเทศ จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญให้องค์กรและภาคธุรกิจต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ไม่มีองค์กรไหนอยู่ได้ ถ้าไม่ดูแลคนของเขาให้เพียงพอในทุกระดับ ตั้งแต่บนลงไปข้างล่างด้วยความยุติธรรมและเท่าเทียมกัน” นายประสิทธิ์กล่าวย้ำ