“พาณิชย์” ปลดล็อกโรงงานผลิตจำหน่าย “หน้ากากอนามัย” ได้ตามช่องทางการค้าปกติ หลังกำลังการผลิตล้นความต้องการจากวันละ 1.2 ล้านชิ้นเป็น 4.5 ล้านชิ้น โรงงานเพิ่มจาก 9 แห่งเป็น 30 แห่ง แต่ยังกำหนดเงื่อนไขขายปลีกไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท และต้องมีขายให้รัฐหากเกิดวิกฤต ส่วนการส่งออกต้องขอเหมือนเดิม
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการประชุมเรื่อง การบริหารจัดการหน้ากากอนามัย ว่า ได้ออกประกาศสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 27 พ.ศ. 2563 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจำหน่ายหน้ากากอนามัย ลงวันที่ 11 ส.ค. 2563 โดยได้ปรับแนวทางและหลักเกณฑ์การบริหารหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ใหม่ กำหนดให้ผู้ผลิตสามารถจำหน่ายได้ตามกลไกตลาดปกติ จากเดิมกำหนดให้ต้องปันส่วนขายให้แก่รัฐ แต่ต้องขายปลีกไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท และหากเกิดวิกฤตการระบาดขึ้นมาอีก หรือมีความจำเป็นเร่งด่วน ผู้ผลิตต้องพร้อมที่จะขายให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มเสี่ยงก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนการส่งออก ยังกำหนดให้ผู้ผลิตต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการเฉพาะกิจที่พิจารณาอนุญาตการส่งออกเช่นเดิม
ทั้งนี้ การปลดล็อกดังกล่าวเป็นไปตามมติของคณะกรรมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อโควิด-19 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากขณะนี้กำลังการผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ของไทยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยผลิตได้วันละ 1.2 ล้านชิ้น ในช่วงแรกของการระบาด จากโรงงานที่ได้มาตรฐาน 9 แห่ง แต่ขณะนี้เพิ่มเป็นวันละ 4.5 ล้านชิ้น จากโรงงานทั้งหมด 30 แห่ง รวมถึงยังมีการนำเข้าอีกประมาณ 20 ล้านชิ้น ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มเสี่ยงมีความต้องการใช้ราววันละ 3 ล้านชิ้น ทำให้ยังมีส่วนเกินเหลืออยู่มาก
“ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2563 เป็นต้นไปโรงงานสามารถขายให้คู่ค้าได้ตามปกติ แต่ต้องขายปลีกชิ้นละไม่เกิน 2.50 บาท ตามราคาควบคุมที่ กกร.กำหนด ซึ่งเป็นราคาที่โรงงานอยู่ได้ เพาะขณะนี้ราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างเมลต์โบลน (แผ่นกรองเชื้อโรค) ราคาลดลงมาก จากการที่ผู้ผลิตในต่างประเทศส่งออกได้มากขึ้น ทำให้จากนี้ไปผู้บริโภคจะหาซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ตามท้องตลาดได้แล้ว ส่วนก่อนหน้านี้ที่ให้โรงงานปันส่วนส่งขายให้แก่รัฐนั้นจะหยุดรับซื้อไปก่อน เพราะต้องการให้โรงงานขายตามช่องทางการค้าปกติ” นายวิชัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคพบว่าผู้ค้ารายใดขายราคาเกินกว่าชิ้นละ 2.50 บาท สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1569 และที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบ หากพบขายเกินราคาควบคุมจะดำเนินการตามกฎหมาย มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากผู้ค้าอ้างว่าหน้ากากที่ขายเกินเป็นหน้ากากนำเข้า เมื่อส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นหน้ากากนำเข้าจริง เพราะอนุญาตให้ผู้นำเข้าคิดราคาขายโดยบวกเพิ่มค่าใช้จ่ายต่างๆ จากการนำเข้าได้ไม่เกิน 60% ของราคานำเข้า
นายชินวัฒน์ มธุรพร รองประธานบริหาร บริษัท ไทย ฮอสพิทอล โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ กล่าวว่า ถือเป็นการที่รัฐปลดล็อกให้จำหน่ายหน้ากากอนามัยได้ตามช่องทางการค้าปกติ เพราะที่ผ่านมาโรงงานเสียโอกาสทางธุรกิจ แต่ลูกค้าในต่างประเทศเข้าใจ จากการที่ต้องผลิตป้อนในประเทศให้เพียงพอก่อน หลังจากนี้บริษัทคงมุ่งผลิตเพื่อส่งออกให้มากขึ้น เพราะมาตรการของรัฐที่ผ่านมาทำให้บริษัทส่งออกได้น้อยเนื่องจากต้องปันส่วนขายให้แก่รัฐ โดยปกติจะส่งออกถึง 90% ของการผลิตทั้งหมด มีตลาดส่งออกอยู่ที่สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และเชื่อว่าแม้จะส่งออกเพิ่มขึ้นแต่ปริมาณยังเพียงพอแน่นอน ส่วนราคาวัตถุดิบที่ลดลงนั้น ล่าสุดเมลต์โบลนอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละประมาณ 400-500 บาท จากในช่วงที่ราคาสูงสุดขึ้นไปถึง กก.ละเกือบ 2,000 บาท