ชาวไร่อ้อยลุ้นราคาน้ำตาลทรายดิบตลาดโลกขยับหลังเริ่มไต่ระดับสู่ 12-13 เซ็นต์ต่อปอนด์ เหตุบราซิลผู้ผลิตน้ำตาลส่งออกรายใหญ่สุดของโลกเจอพิษโควิด-19 หวังฟื้นราคาอ้อยขั้นต้นฤดูหีบปี 63/64 สูงกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยอมรับผลผลิตยังคงมีแนวโน้มตกต่ำหลังเจอแล้งต่อเนื่อง
นายนราธิป อนันตสุข หัวหน้าสำนักงานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และสมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อยเขต 7 เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาน้ำตาลทรายดิบตลาดโลกส่งมอบล่วงหน้าขยับเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 12-13 เซ็นต์ต่อปอนด์ เนื่องจากบราซิลผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของโลกเผชิญปัญหาไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำตาลทรายเพื่อการส่งออกซึ่งจำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิดโดยหากราคาเคลื่อนไหวในระดับดังกล่าวในช่วงนี้ก็จะทำให้โอกาสที่ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2563/64 เฉลี่ยความหวาน 10 ซีซีเอส จะสูงกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ในระดับ 750 บาทต่อตัน
“ราคาน้ำตาลตลาดโลกส่งมอบล่วงหน้าเริ่มขยับตัวเพิ่มซึ่งส่วนหนึ่งมาจากผลผลิตไทยของฤดูที่ผ่านมาตกต่ำและมีแนวโน้มจะลดลงอีกในฤดูหีบใหม่ โดยบริษัทอ้อยและน้ำตาลทรายไทย จำกัด หรือ อนท. จะมีการเปิดประมูลซื้อขายน้ำตาลฤดูหีบใหม่ช่วง 7 ส.ค.นี้ ซึ่งเมื่อรวมพรีเมียมแล้วราคาน่าจะอยู่ระดับ 15-16 เซ็นต์ต่อปอนด์ ดังนั้น หากเป็นระดับราคาดังกล่าวก็จะทำให้โอกาที่ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูใหม่จะสูงกว่าฤดูที่ผ่านมาแต่จะมากน้อยแค่ไหนก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพราะมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง” นายนราธิปกล่าว
สำหรับชาวไร่อ้อย แม้ราคาที่อาจจะฟื้นตัวดีขึ้นจากฤดูหีบก่อนหน้านี้แต่ในแง่ของผลผลิตอ้อยฤดูหีบปี 63/64 ที่จะเปิดหีบปลายปีนี้ยังมีแนวโน้มจะลดต่ำลงอีกจากปี 2562/63 ที่ผลผลิตอ้อยอยู่ในระดับ 74.89 ล้านตัน เนื่องจากฤดูก่อนหน้าประสบปัญหาภัยแล้งส่งผลให้ตออ้อยไม่ดีต่อเนื่องและปีนี้ฝนก็มาล่ากว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังพบต้นทุนต่างๆ สูงขึ้นทั้งค่าแรงตัดอ้อยทั้งจากคนและเครื่องจักร ค่าปุ๋ย เป็นต้นทำให้ต้นทุนของชาวไร่อ้อยเฉลี่ยอยู่ที่ตันละประมาณ 1,000 บาทเป็นอย่างน้อย
สำหรับฤดูหีบปี 63/64 นโยบายของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ยังมุ่งเน้นให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่กำหนดให้ชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเข้าหีบเพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กต่อเนื่อง โดยฤดูหีบปี 62/63 สามารถตัดอ้อยสดคิดเป็น 50.34% ส่วนอ้อยไฟไหม้อยู่ที่ 49.65% ของอ้อยที่หีบทั้งหมด 74.89 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ฤดูหีบใหม่ตามแผนต้องการให้โรงงานรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบได้ไม่เกิน 20% ต่อวันและหมดภายในปี 2564/65
“ยอมรับว่าก็ไม่ง่ายนักแต่ทุกฝ่ายก็จะพยายามทำ โดยก่อนเปิดหีบคงจะต้องหารือกันอีกครั้งเพราะเบื้องต้นชาวไร่เองต้องการให้รัฐสนับสนุนราคาอ้อยทุกตันอ้อยและให้คนตัดอ้อยสดสูงกว่าเช่นฤดูหีบที่ผ่านมา แต่ฝ่ายราชการระบุว่าจะช่วยเหลือเฉพาะอ้อยสดเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ชาวไร่ที่เหลือไม่มีศักยภาพจะไปซื้อรถตัดอ้อยแล้วเพราะผลผลิตอ้อยที่ลดลงจากระดับ 130 กว่าล้านตันเหลือแค่ 74-75 ล้านตันไม่คุ้ม ซึ่งขณะนี้ชาวไร่มีรถตัดอ้อยราว 2,000 คัน ที่เหลืออีกราว 1,000 คันเป็นของโรงงาน ดังนั้นภาระรถตัดอ้อยจากนี้ไปคงอยู่ที่โรงงาน” นายนราธิปกล่าว