xs
xsm
sm
md
lg

SPCG ลดเป้ารายได้ปีนี้ 5.5 พันล้าน อัดงบลงทุนเพิ่มรุกโซลาร์ฟาร์ม-ธุรกิจใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอสพีซีจีปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ลงไม่ต่ำกว่า 5.5 พันล้านบาท จากเดิมที่เคยตั้งไว้ 6.7 พันล้านบาทหลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เผยเตรียมอัดเงินลงทุนเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านเพื่อร่วมลงทุนธุรกิจใหม่ และขยายโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นเพิ่มอีก 65 เมกะวัตต์

นางวันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายรายได้ในปี 2563 เหลือไม่ต่ำกว่า 5.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 5.3 พันล้านบาท แต่ลดลงจากเดิมที่เคยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 6.7 พันล้านบาท รวมทั้งปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ลง 300 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเดินหน้าการลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ โดยเพิ่มงบลงทุนอีก 1 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่วางเป้าหมายการใช้เงินราว 4 พันล้านบาทเพื่อใช้ลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มในมือ โดยเงินลงทุนเพิ่มเติมนั้นรองรับดีลการเข้าร่วมทุนธุรกิจใหม่เน้นนวัตกรรม คาดว่าจะมีความชัดเจนใ น2 เดือนข้างหน้านี้ รวมทั้งการขยายโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นอีก 65 เมกะวัตต์ (MW) ทำให้คาดว่าสิ้นปี 2563 บริษัทฯ จะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในมือเกิน 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 360-370 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายระยะยาวในปี 2580 บริษัทฯ จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 เมกะวัตต์

นางวันดีกล่าวถึงความคืบหน้าการขยายตลาดติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์รูฟท็อป) ในโรงงานอุตสาหกรรม ภายใต้รูปแบบ Private PPA ว่า ในปีนี้บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 50 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ 35-40 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นภายใต้การดำเนินงานของบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์รูฟ จำกัด (SPR) น้อยกว่า 20 เมกะวัตต์ โดยเน้นกลุ่มที่พักอาศัย-เชิงพาณิชย์ และบริษัท MSEK Power เน้นลูกค้าส่วนใหญ่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในไทย ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือรวม 15-20 เมกะวัตต์ คิดเป็นมูลค่า 400-500 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะได้งานเพิ่มมากขึ้น

บริษัทยังมองหาโครงการไฟฟ้าใหม่เข้ามาเพิ่มเติมทั้งในไทยและญี่ปุ่น โดยมุ่งเน้นที่โซลาร์ฟาร์มเป็นหลัก ส่วนโรงไฟฟ้าชุมชน บริษัทไม่สนใจ เนื่องจากอัตราการรับซื้อไฟฟ้าเบื้องต้นของโรงไฟฟ้าชุมชนอยู่ที่ 2.90 บาท/หน่วย ไม่จูงใจ รวมไปถึงโครงการโซลาร์รูฟ ภายใต้โครงการโซลาร์ประชาชน เบื้องต้นคาดว่ารัฐบาลจะปรับราคารับซื้อเป็น 2 บาท/หน่วย จากเดิม 1.68 บาท/หน่วย ก็ไม่ให้ความสนใจเพราะราคาไม่จูงใจเช่นกัน

นางวันดีกล่าวต่อไปว่า การจัดหาแหล่งเงินเพื่อใช้ในการลงทุนโครงการต่างๆ นั้น ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ได้อนุมัติการออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินหุ้นกู้เดิมที่มีอยู่ 1.3 หมื่นล้านบาท จะทำให้บริษัทฯ มีวงเงินเพื่อรองรับการลงทุนรวม 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนการออกหุ้นกู้ขึ้นอยู่กับแผนการลงทุน โดยบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.53 เท่า

ปัจจุบันบริษัทฯ มีกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ โครงการโซลาร์ฟาร์ม แบ่งเป็น โครงการในไทย 36 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 260 เมกะวัตต์, โซลาร์ฟาร์ม Tottori Yonago Mega Solar ในญี่ปุ่น กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ ที่เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว และโซลาร์ฟาร์ม Ukujima Mega Solar Project ในญี่ปุ่น กำลังการผลิต 480 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566

สำหรับผลการดำเนินงานของ SPCG ในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 2.67 พันล้านบาท ล่าสุดกลุ่ม บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเป็น 11.5% จากช่วงเริ่มต้นที่ถืออยู่ราว 8% โดยทาง GULF ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้ามาเป็นกรรมการแต่อย่างใด
กำลังโหลดความคิดเห็น