ผู้จัดการรายวัน 360 - ตลาดเครื่องดื่มทั้งระบบครึ่งปีแรกร่วงระนาว ติดลบรวม 7% ส่วนกลุ่มน้ำอัดลมติดลบน้อยสุด 2.5% เหตุโควิด-19 กระทบหนัก ด้านมิรินด้าทุ่มงบสูงสุด 200 ล้านบาทปรับครั้งใหญ่ ลุยเต็มพิกัด หวังขยับขึ้นที่ 2 ในปีหน้า เป้าหมายปีนี้โต 20%
นายสมชัย เกตุชัยโกศล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มในช่วงครึ่งแรกปี 2563 ติดลบทั้งหมดทุกกลุ่มเฉลี่ย 7% เนื่องจากปัจจัยหลักคือ โควิด-19 ระบาดที่ส่งผลกระทบไปทั้งหมด การทำธุรกิจและการทำตลาดมีข้อจำกัด หรือกิจกรรมการตลาดอีเวนต์ทำไม่ได้เลย
โดยช่องทางร้านอาหารและฟาสต์ฟูดไม่สามารถนั่งรับประทานในร้านได้ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีสัดส่วนยอดขายมากถึง 20% จากตลาดรวม และพฤติกรรมการใช้ชีวิตนอกบ้านที่มีมาตรการต่างๆ ที่เข้มงวด
ทั้งนี้ ตลาดน้ำเปล่า ติดลบ 12%, ชูกำลัง ติดลบ 6%, เกลือแร่ ติดลบ 13%, กาแฟพร้อมดื่ม ติดลบ 7%, ชาพร้อมดื่ม ติดลบ 13%, มิกเซอร์ ติดลบ 5% และน้ำอัดลม ติดลบ 2.5% ซึ่งสังเกตได้ว่ากลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป็นกลุ่มที่ติดลบน้อยที่สุดในตลาดรวม คือ 2.5% เท่านั้นเอง
ขณะที่ตลาดรวมเครื่องดื่มทั้งหมดในไทยเมื่อปี 2562 หรือตลาด LRB( Liquid Refreshing Beverage) มีมูลค่ารวม 155,000 ล้านบาท เติบโต 9% จากปี 2561 โดยที่เครื่องดื่มน้ำอัดลมมีสัดส่วนตลาดมากที่สุดและเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 10% เป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดรวม โดยน้ำอัดลมมีสัดส่วนตลาดมากถึง 36% จากตลาดรวม 155,000 ล้านบาท, กลุ่มน้ำเปล่ามีสัดส่วน 25%, เครื่องดื่มชูกำลังมีสัดส่วน 15%, กาแฟพร้อมดื่มมีสัดส่วน 8%, ชาพร้อมดื่มมีสัดส่วน 8%, มิกเซอร์มีสัดส่วน 5% และเครื่องดื่มเกลือแร่มีสัดส่วน 3%
ขณะที่สัดส่วนของช่องทางการจำหน่ายน้ำอัดลมแบ่งเป็น เทรดิชันนัลเทรด สัดส่วน 50%, คอนวีเนียนสโตร์ สัดส่วน 25%, ร้านอาหาร สัดส่วน 18% และซูเปอร์มาร์เกตกับไฮเปอร์มาร์เกต สัดส่วน 7%
นายสมชัยกล่าวให้ความเห็นด้วยว่า ในช่วงครึ่งหลังปี 2563 คาดว่าสถานการณ์ต่างๆ น่าจะเริ่มดีขึ้น หลังจากที่มีการคลายล็อกกันเต็มที่ ร้านอาหารเปิดให้นั่งรับประทานได้ ช่องทางขายต่างๆ เปิดได้ครบ ผับบาร์ก็เปิดได้ อีกทั้งการท่องเที่ยวก็เริ่มมีคนเที่ยวกันมากขึ้น มีการเดินทางมากขึ้น ก็ส่งผลดีต่อเครื่องดื่ม เศรษฐกิจภาพรวมน่าจะดีขึ้น เพราะ 22% ของจีดีพีประเทศก็มาจากการท่องเที่ยว หลังจากที่ไตรมาสแรกตลาดรวมเริ่มได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนไตรมาสที่ 2 เรียกได้ว่าโควิด-19 กระทบเต็มๆ ทั้งระบบ ทั้งๆ ที่เป็นช่วงหน้าขายสูงที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแบรนด์มิรินด้า ปีนี้จะมีการปรับแผนกลยุทธ์การรุกตลาดครั้งใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางของมิรินด้าทั่วโลกที่ต้องการปรับภาพลักษณ์แบรนด์สินค้าใหม่เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่ม เจนซี (Gen Z) มากยิ่งขึ้น ด้วยงบปีนี้มากถึง 200 ล้านบาท ซึ่งมิรินด้าอยู่ในตลาดเมืองไทยมานานกว่า 40 ปีแล้ว
“สาเหตุที่ปรับใหญ่ครั้งนี้นอกจากตามนโยบายของบริษัทแม่แล้ว ยังเป็นผลมาจากการที่เครือเป๊ปซี่โคที่เข้ามาทำตลาดเองในไทย ในช่วงแรกได้เริ่มเน้นตลาดน้ำดำก่อน คือเป๊ปซี่ ซึ่งตอนนี้มีความแข็งแกร่งแล้ว เราจึงมาเน้นที่น้ำสีคือมิรินด้า เพื่อให้เป็นตัวสำคัญสร้างรายได้หลักต่อไป โดยเป้าหมายหลักภายในปีหน้า (2564) ต้องการที่จะผลักดันให้มิรินด้าขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในตลาดน้ำสี จากขณะนี้อยู่อันดับที่ 3 มีแชร์น้อยกว่าอันดับที่ 2 เล็กน้อย” นายสมชัยกล่าว
สำหรับกลยุทธ์การรุกตลาด จะมุ่งเน้นแนวความคิด “Mirinda Mix Up Your World มิรินด้าสนุกทุกสี ซ่าไม่มีซ้ำ” ที่เจาะลึกถึงไลฟ์สไตล์และความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ทุ่มงบการตลาดและการลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สูงกว่าปีก่อนเท่าตัว เพื่อให้เข้าถึงกลุ่ม Gen Z และกระตุ้นให้หันมาลองเครื่องดื่มมิรินด้า ประกอบด้วย
1. เข้าใจและครองใจ Gen Z : วัยรุ่นคือผู้บริโภคกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในเครื่องดื่มน้ำอัดลมสี เป็นผลมาจากพฤติกรรมที่ชอบความหลากหลาย เปิดรับและพร้อมทดลองสิ่งใหม่และไม่หยุดนิ่ง จึงเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในแบรนด์หลักในใจวัยรุ่น ผ่านกิจกรรมการตลาดหลากหลายรูปแบบที่เน้นการสร้าง Brand For Me ให้เกิดในใจชาว Gen Z
2. สร้างพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง เน้นจุดแข็งของ 3 รสชาติหลักที่มีสัดส่วนกว่า 80% และล่าสุดได้ปรับปรุงรูปแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ ตั้งเป้าการออกผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่สู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี
3. ใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบเทคโนโลยี สื่อออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย ด้วยงบลงทุนที่เพิ่มสัดส่วนสูงขึ้นทุกปี ล่าสุดจับมือพันธมิตร อาทิ TIK TOK ผ่านฟีเจอร์ใหม่เอาใจสายแดนซ์ และการใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่ได้ทีมครีเอทีฟของ TIK TOK มาทำงานร่วมกัน
นายสมชัยกล่าวว่า ในปี 2563 นี้ มิรินด้าตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 18-20% จากปีที่แล้วที่มิรินด้าเติบโต 9% ซึ่งช่วงไตรมาสแรกปีนี้มิรินด้าเติบโตถึง 15% จากการออกสินค้าใหม่ มิรินด้ากลิ่นกรีนครีม ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ กลิ่นมิกซ์เบอร์รีและแตงโมในขวดเดียวกัน คือแบบขวด PET ขนาด 345 มิลลิลิตร และ 440 มิลลิลิตร