กพท.หารือสายการบินและสนามบิน เตรียมพร้อมเปิดบินระหว่างประเทศ ผ่อนปรนขายตั๋วได้เต็มที่ บังคับใส่หน้ากากตลอดเวลา ด้านแอร์ไลน์รอ ศบค.ชัดเจน ก่อนตัดสินใจขายตั๋วเปิดบิน ลุ้นเริ่มเห็นเที่ยวบินใน ก.ย. ยอมรับต้องขายตั๋ว 77% จึงจะคุ้มทุน
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับสายการบินสัญชาติไทยและผู้ดำเนินการสนามบิน ว่า กพท.ได้สรุปแนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่เกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ใช้บังคับกับสนามบิน อากาศยานคนประจำอากาศยาน และได้จัดทำร่างประกาศเรื่องแนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางการบินระหว่างประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงได้ทำความเข้าใจร่วมกันกับสายการบินและผู้ดำเนินการสนามบิน เกี่ยวกับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเพื่อเตรียมความพร้อมกรณีที่จะมีการกลับมาเริ่มเปิดให้บริการเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ
ประกอบด้วย มาตรการตั้งแต่การคัดกรองโรคก่อนออกประเทศ ทั้งประเทศต้นทางอื่นๆ และประเทศไทย / Check-in / Boarding / การปฏิบัติตัวทั้งของผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่องบิน / และมาตรการเมื่อถึงสนามบินปลายทางทั้งประเทศไทยและต่างประเทศซึ่งได้ข้อสรุปเบื้องต้น ดังนี้
ให้สายการบินสามารถจำหน่ายบัตรโดยสารได้เต็มตามจำนวนที่นั่งทั้งหมดได้ โดยไม่ต้องเว้นที่นั่งเนื่องจากระบบอากาศหมุนเวียนในเครื่องบินและระบบกรองอากาศภายในเครื่องบินมีการรับรองแล้วว่ามีมาตรฐาน แต่ผู้โดยสารยังต้องรับผิดชอบสวมใส่หน้ากากปิดปากและจมูก (Face Covering) ส่วนลูกเรือจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ซึ่งเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ทาง ศบค.ได้ผ่อนปรนมาตรการ โดยได้ยกเลิกการให้ขายตั๋ววันที่นั่งสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศไปแล้ว และอนุญาตให้บริการอาหารและเครื่องดื่มได้ในเที่ยวบินที่มีระยะเวลาของเที่ยวบินต้องเกิน 2 ชั่วโมง และต้องมีมาตรการลดการสัมผัสระหว่างลูกเรือกับผู้โดยสารมากที่สุด เช่น การบรรจุอาหารและเครื่องดื่มในภาชนะที่ปิดมิดชิด นอกจากนี้จะต้องจัดที่นั่งพิเศษ 3 แถวหลัง เพื่อแยกผู้โดยสารที่มีอาการน่าสงสัยระหว่างเที่ยวบิน จะมีการพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของพื้นที่ที่จะให้บริการ และระยะเวลาในการบิน
นายจุฬากล่าวว่า การพิจารณาเปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศ หลังจากครบกำหนดห้ามทำการบินมายังประเทศไทยเป็นการชั่วคราวในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จะเป็นผู้พิจารณาพร้อมทั้งมาตรการที่จะให้มีการเดินทางเข้าออกอย่างไร ซึ่งจะเป็นผลโดยตรงว่าจะมีปริมาณการเดินทางแค่ไหน สายการบินจึงจะประมาณการขายตั๋วว่าจะคุ้มกับการเปิดบินหรือไม่
ทั้งนี้ แม้มาตรการจะชัดเจนและนิ่ง แต่ต้องดูการตอบรับจากผู้โดยสารด้วยว่าจะเดินทางหรือไม่ ขณะที่การเปิดบินของสายการบินจะต้องมีความคุ้มทุน ล่าสุดทางสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (ไออาต้า) ได้ทำการสำรวจสายการบิน 122 สาย จะต้องมีผู้โดยสารในอัตราส่วนบรรทุก (Load Factor) เฉลี่ย 77% ของจำนวนที่นั่ง สายการบินจึงจะคุ้มทุนในการเปิดบิน ดังนั้น หากกำหนดขายตั๋วเว้นระยะห่าง Load Factor แค่ 70% สายการบินก็ยังขาดทุน
อย่างไรก็ตาม สายการบินยังมีความกังวลการให้บริการการบินระหว่างทั้งการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสาธารณสุข และคำสั่ง ศบค.ในการห้ามเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งในวันที่ 1 ก.ค.นี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีมาตรการผ่อนปรนด้านการบินหรือไม่ ซึ่งในปี 2563 กพท.ประเมินว่าจำนวนผู้โดยสารจะลดลงจากปี 2562 (ที่มีประมาณ 165 ล้านคน) ถึง กว่า 70% และคาดว่าจะเริ่มมีการเดินทางระหว่างประเทศในช่วงเดือน ก.ย.ในแบบทยอยเปิดบินซึ่งจำนวนผู้โดยสารจะยังไม่มากนัก
โดย กพท.จะนำข้อเสนอแนะที่ได้จากสายการบินและสนามบินไปพิจารณาปรับปรุงร่างประกาศฯ และนำไปหารือร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านอื่นๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ และศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ต่อไป