xs
xsm
sm
md
lg

เวฟเมคเกอร์วิเคราะห์ทางรอดอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เวฟเมคเกอร์ (สำนักงานใหญ่-ลอนดอน) ได้ทำการวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ของกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในระดับโลกผ่านบทความ Week in Review ทั้งนี้ เวฟเมคเกอร์ (ประเทศไทย) ได้จับมือกับ กรุ๊ปเอ็ม ร่วมกันศึกษาและต่อยอดการวิเคราะห์นี้ในบริบทของประเทศไทย

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาส่งผลให้เศรษฐกิจของโลกถดถอยลงไปมาก การดำเนินการทางธุรกิจของบริษัททั้งเล็กและใหญ่ในหลา ๆ ประเทศมีการหยุดชะงัก เนื่องจากมาตรการในการควบคุมโรคระบาดของแต่ละประเทศที่เพิ่มความรัดกุมและเป็นสาเหตุที่ทำให้สายงานด้านการผลิตไม่สามารถที่จะนำเข้าชิ้นส่วนและเปิดโรงงานการผลิตได้อย่างปกติ

มีการคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีแรกความสามารถในการผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญอย่างสมาร์ทโฟนทั่วโลกจะลดลงไปถึง 30% ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่มีความระมัดระวังในเรื่องของการใช้จ่ายที่มากขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงที่มาจากอุปสงค์และอุปทานข้างต้นนี้มีผลโดยตรงต่อการวางแผนในอนาคตของแบรนด์และนักการตลาด โดยเวฟเมคเกอร์ได้ทำการสำรวจการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคในระดับโลกในช่วงการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะเน้นไปในเรื่องของใช้ส่วนตัว อย่างโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

ณัฐดนัย ตระการวัฒนวงศ์ เจ้าหน้าที่แผนกพัฒนาและการตลาดของ กรุ๊ปเอ็ม (ประเทศไทย) ได้รวบรวมข้อมูลและทำการสรุปผลสำรวจของเวฟเมคเกอร์ในบริบทของโลกออกมาได้เป็น 3 ส่วน คือ ด้านธุรกิจ ด้านผู้บริโภค และด้านแบรนด์ ดังนี้

ด้านธุรกิจ

การเลื่อนการจัดการแข่งขันของสปอร์ตอีเวนต์หรือกีฬาต่างๆ ซึ่งรวมถึงมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างโอลิมปิก - ที่มีการโฆษณาและสื่อสารว่าจะมาพร้อมการถ่ายทอดสดด้วยความละเอียดขั้นสูงในระบบ 8K โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจผู้ผลิตสินค้าประเภทนี้ในช่วงนี้เนื่องจากผู้บริโภคขาดปัจจัยดึงดูดในการอัปเกรดสินค้าประเภทโทรทัศน์หรือทีวีภายในบ้านขึ้นเป็นสินค้ารุ่นใหม่

ผลการวิเคราะห์จาก GSMA โดยสังเกตจากการที่บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือเลื่อนการเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่รองรับระบบ 5G ออกไป ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ 5G ต้องเลื่อนเวลาการออกสู่ตลาด และมีผลทำให้ราคาของสินค้าอาจจะต้องถูกปรับลง ทำให้มีการคาดการณ์ว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะปรับการวางแผนการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่

ด้านผู้บริโภค

ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา แพลตฟอร์มดิจิทัลแทบจะกลายเป็นหนทางเดียวที่ผู้บริโภคทั่วโลกจะสามารถทำงาน ได้รับความรู้ และความบันเทิง ในเวลาที่ถูกกักตัวอยู่กับบ้าน ส่งผลให้เส้นกั้นระหว่างความเชื่อและความเคยชินในเรื่องของ "ความเป็นที่ทำงาน" กับ "การอยู่บ้าน" ค่อยๆ แคบลง

จากข้อมูลของ BBC พบว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ประเภทของใช้ส่วนตัวอย่างคอมพิวเตอร์หรือสมาร์โฟนเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้นจากการทำงานจากบ้าน แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ผู้บริโภคยังมีความลังเลในการซื้อ เนื่องจากความกลัวที่จะได้รับผลกระทบทางด้านการเงินทำให้ผู้บริโภคในประเทศต่างๆ (32% ในสหรัฐอเมริกา, 35% ในทวีปยุโรป และ 44% ในทวีปเอเชียแปซิฟิก) มีพฤติกรรมการวางแผนการใช้เงินที่รัดกุมมากขึ้น ทั้งนี้ พบว่านอกจากผู้บริโภคจะสามารถที่จะรอจนกว่าที่จะเจอโปรโมชันจากทางแบรนด์ที่ถูกใจแล้ว ผู้บริโภคยังหันมาให้ความสนใจต่อสินค้าประเภท Wearable Device มากขึ้น เพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่จะมีสุขภาพที่ดีผ่านการวัดค่าหรือจดจำข้อมูลเกี่ยวกับตนเองได้

ด้านแบรนด์

บริษัทยักษ์ใหญ่ในด้านเทคโนโลยีต่างพากันยื่นมือนำความรู้ รวมถึงความสามารถทางด้านเทคโนโลยี (และสิ่งของ) เข้ามาช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานของรัฐ โดยเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเหลือนั้นมีทั้งด้านการช่วยในการติดตาม ค้นหา หรือกระจายข่าวสารเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 และเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถป้องกันตัวเองจากการติดเชื้ออีกด้วย

นอกจากนี้ แบรนด์ยังสามารถปรับกลยุทธ์ในการโฆษณาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตต่างจากเดิม รวมไปถึงการนำเทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาปรับใช้เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อ ตัวอย่างเช่น แบรนด์ผู้จำหน่ายอุปกรณ์เกมต่างๆ ที่พากันลงทุนเพิ่มในการสื่อสารเพื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ตัวเองเพื่อเพิ่มความสนใจและกระตุ้นความอยากซื้อ เพราะว่าในช่วงนี้ผู้บริโภคในหลายๆ ประเทศมีเวลาที่จะอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้แบรนด์สามารถนำเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกหรือกิจกรรมสันทนาการให้แก่ผู้บริโภคเพื่อใช้ในช่วงเวลาที่ยังไม่สามารถออกไปข้างนอกได้อย่างเต็มที่

สำหรับในบริบทของประเทศไทย อธิราช หุตะสิงห์ ผู้อำนวยการแผนกนวัตกรรมและเทคโนโลยี เวฟเมคเกอร์ (ประเทศไทย) เผยว่า ถึงคนไทยจะมีความกังวลในเรื่องการวางแผนค่าใช้จ่ายมากขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ข้อมูลจากหน่วยงานด้านอีคอมเมิร์ซของเวฟเมคเกอร์และกรุ๊ปเอ็มกลับพบว่า "อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยกลับมีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 150%"

แม้ว่ายอดขายสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เคยเป็นสินค้ายอดนิยม 3 อันดับแรกบนอีคอมเมิร์ซจะตกอันดับลงไปเนื่องจากความตื่นตัวของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาให้ความสนใจสินค้าประเภทสุขภาพและการป้องกันตัวจากการติดเชื้อไวรัส แต่ข้อมูลของกรุ๊ปเอ็มที่ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มพาร์ตเนอร์อย่างใกล้ชิดทำให้เรายังสามารถสรุปได้ว่ายอดขายบนอีคอมเมิร์ซสำหรับสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยยังคงมีการเติบโตขึ้นซึ่งต่างจากบริบทในภาพรวมของโลก

อธิราชยังได้ขยายความถึงภาพรวมของอีคอมเมิร์ซในไทยเพิ่มเติมว่า

"ในยุคที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ผู้บริโภคชาวไทยมีการเข้าถึงข้อมูลบนโลกออนไลน์เพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงจำนวนของผู้ที่สามารถเข้าถึงสื่อโฆษณาที่มากขึ้น แต่ในทางกลับกันสังเกตได้ว่าจำนวนโฆษณากลับทำไม่เยอะขึ้นตามจำนวนคนดู จึงเป็นเหตุให้ต้นทุนในการลงโฆษณา (CPM) ลดลง และเป็นผลดีต่อแบรนด์ที่ต้องการเข้าหาผู้บริโภคในช่วงนี้"

อีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่สามารถช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าหาผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นก็คือการสร้างออนไลน์คอนเทนต์ผ่านสื่อบุคคล (Influencer) ที่แบรนด์เลือก เนื่องจาก Influencer ถือเป็นทั้งสื่อและคนที่สามารถสร้างความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคได้โดยตรง ยิ่งแบรนด์สามารถใช้ Influencer ในการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์จากผู้บริโภคโดยปรับไปตามสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นได้ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะทำให้คอนเทนต์นั้นถูกแชร์และกระจายออกไปได้ง่ายขึ้นและเป็นโอกาสในการสร้างความต้องการ (Demand) ในการซื้อสินค้าได้

อธิราชยังได้กล่าวเสริมว่า จากการทำงานในแคมเปญต่างๆ ให้แก่ลูกค้า เวฟเมคเกอร์พบว่าทุกวันนี้มี Influencer รายใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งนับเป็นความท้าทายก้อนโตสำหรับทั้งแบรนด์และนักการตลาดว่าจะเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม และเพื่อให้นักการตลาดสามารถเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรุ๊ปเอ็ม และบริษัทในเครือได้ทำการพัฒนาระบบการหา Influencer ผ่านกลุ่มพัฒนาประสิทธิภาพธุรกิจ Influencer หรือ INCA ที่มีการใช้เทคโนโลยี Little Crawler หรือโรบอตจิ๋วลงไปในคอนเทนต์ของ Influencer ซึ่งทำให้เวฟเมคเกอร์ รวมถึงเอเยนซีอื่นๆ ของกรุ๊ปเอ็ม เพิ่มความได้เปรียบทางด้านความสามารถในการทำ Influencer Marketing ที่มีความเหมาะสมในแต่ละแคมเปญของลูกค้า และช่วยเปลี่ยนผู้ติดตามของ Influencer แต่ละคนให้กลายเป็นผู้บริโภคของแบรนด์ผ่านเทคโนโลยีและข้อมูลที่วัดผลได้ภายใต้ลิขสิทธิ์ของกรุ๊ปเอ็ม

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะหมดลงเมื่อใด สิ่งที่นักการตลาดจะต้องคำนึงถึงก็คือการเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งด้านพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภค ด้านรูปแบบการดำเนินธุรกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่แนะนำว่าทุกคนต้องเร่งปรับตัว ปรับทัศนคติ รวมไปถึงการปรับแผนกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าและสร้างประสิทธิภาพ (และประสิทธิผล) ในการทำธุรกิจให้มากที่สุด โดยทั้งนี้นักการตลาดจะต้องไม่ลืมเรื่องของการสนับสนุนการทำงานร่วมกับสังคมที่สามารถต่อยอดโอกาสทางธุรกิจในอนาคตอีกด้วย

ที่มา: http://www.groupmthailand.com/insightm/index/detail/21




กำลังโหลดความคิดเห็น