“บีซีพีจี” แจงไตรมาสที่ 1 /63 กำไรเพิ่มขึ้น 16.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ย้ำไตรมาส 2 เน้นขยายธุรกิจดิจิทัลโดยนำนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการพลังงานสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2563 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิประมาณ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.7 จากไตรมาสที่ 1/2562 สาเหตุหลักมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 325 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2562 ร้อยละ 9.7
ในไตรมาสที่ 1/2563 บริษัทฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่องและมีผลการดำเนินงานที่ดี มีการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากการเข้าซื้อและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในหลายโครงการ ได้แก่ โครงการ “ลมลิกอร์” เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนเมษายน 2562,โครงการ “Nam San 3A” เข้าซื้อในเดือนกันยายน 2562, โครงการโซลาร์ลอยน้ำ และติดตั้งบนพื้นดิน ภาคเอกชน “บางปะอิน” เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2562 และโครงการ “Nam San 3B” เข้าซื้อในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ทำให้ในไตรมาสที่ 1/2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 886 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2562 ร้อยละ 9.7 และ EBITDA รวมอยู่ที่ 825 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.8
อย่างไรก็ตาม หากคิดเป็นผลกำไรแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 82 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.7 สาเหตุหลักมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 325ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 38 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 42,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 5,354 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.4 สาเหตุหลักมาจากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3B” ที่ สปป.ลาว ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563
“ผลงานไตรมาสแรกถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีสำหรับบีซีพีจี สำหรับในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ยังคงขยายธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ โดยเน้นความสำคัญของการนำนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการพลังงานสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนในส่วนของการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน บริษัทได้ดำเนินการต่อยอดเทคโนโลยีให้มีความหลากหลาย และขยายฐานธุรกิจของบริษัทไปยังประเทศต่างๆ ครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชียมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะทำให้รายได้ของบริษัทมีเสถียรภาพมากขึ้นแล้วยังเป็นการสร้างสมดุลของความหลากหลายของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของบริษัทอีกด้วย” นายบัณฑิตกล่าว