พิษโควิด-19! กลุ่ม ปตท.สั่งลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น รวมทั้งทบทวนแผนลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ และโครงการ MARS สั่งโรงกลั่นปรับลดกำลังการผลิต 15-20% หลังดีมานด์น้ำมันวูบ คาดราคาน้ำมันปีนี้เฉลี่ย 30-40เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ว่า กลุ่ม ปตท.ได้รับผลกระทบกระทบจากความต้องการใช้พลังงานและปิโตรเลียมที่ลดลง และราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับลดแรง ส่งผลให้ไตรมาส 1/63 ประสบปัญหาขาดทุนสต๊อกน้ำมันค่อนข้างสูง ซึ่งประเมินว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว ดังนั้น ปตท.ได้สั่งการให้กลุ่มบริษัทลูกทำแผนลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น รวมทั้งปรับแผนการลงทุนเพื่อติดตามทุกเดือน ล่าสุดเตรียมเสนอคณะกรรมการ ปตท.ในวันที่ 30 เม.ย.นี้ เพื่อพิจารณาลดงบประมาณค่าใช้จ่ายดำเนินการการที่ไม่จำเป็นหลักพันล้านบาท แต่จะเป็นวงเงิน 7 พันล้านบาทหรือไม่ ก็ต้องรอที่ประชุมฯ ว่าจะเห็นชอบอย่างไร
รวมทั้งทบทวนหรือชะลอโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทในเครือฯ เช่นโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) ที่ต้องทบทวนการลงทุนใหม่ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวและการลดการใช้พลาสติกชนิดครั้งเดียวทิ้ง โครงการอะโรเมติกส์ (MARS) ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ที่ต้องเลื่อนออกไปก่อน หลังจากจีนหันมาลงทุนตั้งโรงงานผลิตพาราไซลีนเองเพื่อใช้เองภายในประเทศทำให้ลดการนำเข้าปิโตรเคมีลง ส่วนการขยายสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่นในประเทศเพื่อนบ้านก็ยังเดินหน้าเนื่องจากมีความต้องการใช้น้ำมันในประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ กลุ่มโรงกลั่นในเครือ ปตท.ทั้งไทยออยล์, ไออาร์พีซี และพีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เตรียมปรับลดกำลังการกลั่นลง 15-20% มีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ค.นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ รวมทั้งปริมาณการใช้น้ำมันอากาศยาน (เจ็ต) ที่ลดลงมากเหลือเพียงแค่ 10% จากการที่สายการบินหยุดบิน ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการผลิตปิโตรเคมีที่จะต้องปรับลดลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ ปตท.คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 30-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากเดิมที่เคยประเมินราคาน้ำมันดิบปีนี้อยู่ที่ 55-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
“ในช่วงนี้การเก็บเงินสดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด งบที่ไม่จำเป็นต้องพยายามลด และโครงการลงทุนในอนาคตก็ต้องทบทวนตามดีมานด์-ซัปพลายที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น โครงการ MARS บมจ.ไออาร์พีซี โครงการลงทุนปิโตรเคมีในสหรัฐฯ ของ บมจ.พีทีทีโกลบอลเคมิคอล (จีซี ) เป็นต้น” นายชาญศิลป์กล่าว
นายชาญศิลป์กล่าวว่า ส่วนโครงการร่วมทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กลุ่ม ปตท.ได้ร่วมทุน 2 โครงการเป็นการร่วมมือกับ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF คือ โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ในขณะนี้อยู่ระหว่างการถมทะเล ซึ่งเป็นการเดินหน้าตามแผน ส่วนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ซึ่งยังไม่ได้ลงนามกับภาครัฐ เนื่องจากภาครัฐจะเจรจาเพื่อเพิ่มผลตอบแทนนั้น ทาง ปตท.กับพันธมิตรร่วมทุนจะต้องหารือกันว่ามีข้อเสนออย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์โควิด-19 สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับการลงนามสัญญาล่าช้ากว่าแผน ดังนั้นก็อาจจะเจรจาเลื่อนระยะเวลาการเริ่มและขยายเวลาการลงทุนออกไปตามสถานการณ์ คาดว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปในปีนี้
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ว่า กลุ่ม ปตท.ได้รับผลกระทบกระทบจากความต้องการใช้พลังงานและปิโตรเลียมที่ลดลง และราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับลดแรง ส่งผลให้ไตรมาส 1/63 ประสบปัญหาขาดทุนสต๊อกน้ำมันค่อนข้างสูง ซึ่งประเมินว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว ดังนั้น ปตท.ได้สั่งการให้กลุ่มบริษัทลูกทำแผนลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น รวมทั้งปรับแผนการลงทุนเพื่อติดตามทุกเดือน ล่าสุดเตรียมเสนอคณะกรรมการ ปตท.ในวันที่ 30 เม.ย.นี้ เพื่อพิจารณาลดงบประมาณค่าใช้จ่ายดำเนินการการที่ไม่จำเป็นหลักพันล้านบาท แต่จะเป็นวงเงิน 7 พันล้านบาทหรือไม่ ก็ต้องรอที่ประชุมฯ ว่าจะเห็นชอบอย่างไร
รวมทั้งทบทวนหรือชะลอโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทในเครือฯ เช่นโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) ที่ต้องทบทวนการลงทุนใหม่ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวและการลดการใช้พลาสติกชนิดครั้งเดียวทิ้ง โครงการอะโรเมติกส์ (MARS) ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ที่ต้องเลื่อนออกไปก่อน หลังจากจีนหันมาลงทุนตั้งโรงงานผลิตพาราไซลีนเองเพื่อใช้เองภายในประเทศทำให้ลดการนำเข้าปิโตรเคมีลง ส่วนการขยายสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่นในประเทศเพื่อนบ้านก็ยังเดินหน้าเนื่องจากมีความต้องการใช้น้ำมันในประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ กลุ่มโรงกลั่นในเครือ ปตท.ทั้งไทยออยล์, ไออาร์พีซี และพีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เตรียมปรับลดกำลังการกลั่นลง 15-20% มีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ค.นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ รวมทั้งปริมาณการใช้น้ำมันอากาศยาน (เจ็ต) ที่ลดลงมากเหลือเพียงแค่ 10% จากการที่สายการบินหยุดบิน ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการผลิตปิโตรเคมีที่จะต้องปรับลดลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ ปตท.คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 30-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากเดิมที่เคยประเมินราคาน้ำมันดิบปีนี้อยู่ที่ 55-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
“ในช่วงนี้การเก็บเงินสดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด งบที่ไม่จำเป็นต้องพยายามลด และโครงการลงทุนในอนาคตก็ต้องทบทวนตามดีมานด์-ซัปพลายที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น โครงการ MARS บมจ.ไออาร์พีซี โครงการลงทุนปิโตรเคมีในสหรัฐฯ ของ บมจ.พีทีทีโกลบอลเคมิคอล (จีซี ) เป็นต้น” นายชาญศิลป์กล่าว
นายชาญศิลป์กล่าวว่า ส่วนโครงการร่วมทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กลุ่ม ปตท.ได้ร่วมทุน 2 โครงการเป็นการร่วมมือกับ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF คือ โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ในขณะนี้อยู่ระหว่างการถมทะเล ซึ่งเป็นการเดินหน้าตามแผน ส่วนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ซึ่งยังไม่ได้ลงนามกับภาครัฐ เนื่องจากภาครัฐจะเจรจาเพื่อเพิ่มผลตอบแทนนั้น ทาง ปตท.กับพันธมิตรร่วมทุนจะต้องหารือกันว่ามีข้อเสนออย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์โควิด-19 สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับการลงนามสัญญาล่าช้ากว่าแผน ดังนั้นก็อาจจะเจรจาเลื่อนระยะเวลาการเริ่มและขยายเวลาการลงทุนออกไปตามสถานการณ์ คาดว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปในปีนี้
