xs
xsm
sm
md
lg

“สยามเฮลท์ฯ”ดิ้นสู้ศก.-โควิด19 งัดโฆษณาสร้างไวรัล-ลุยส่งออก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน360 - “สยามเฮลท์ กรุ๊ป”เปิดฉากสู้วิกฤติเศรษฐกิจ-ไวรัสโควิด-19 งัดกลยุทธ์ใหม่ Planet Marketing รับสมรภูมิ Digital disruption เปิดตัวแคมเปญโฆษณาสร้างกระแสไวรัล โชว์ยอดขายปี 62 เติบโต ลุยปี 63 พุ่งไม่ต่ำกว่า 10 - 15% จ้างเอเจนซี่ระดับโลกลุยส่งออก

ภก.ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก “เดนทิสเต้” (Dentiste) และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว “สมูท-อี” (Smooth-E) เปิดเผยว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังวิกฤติหนัก เจอปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส”โค¬¬วิด-19” และสมรภูมิการตลาดในโลกยุค Digital disruption การเจาะตลาดกลุ่มคน Gen Y หรือ Gen Z หรือคนอายุต่ำกว่า 30 ปี ต้องใช้กลยุทธ์แตกต่างจากยุค 10 ปีที่แล้ว ซึ่งการตลาดแบบ 4P ไม่เพียงพอ ต้องมีอีก 3P ซึ่งมีอิทธิพลมากขึ้นทุกวัน คือ People, Profit และ Planet
บริษัทใช้กลยุทธ์การตลาด Planet Marketing กระตุ้นการรับรู้เกี่ยวกับประเด็นในสังคมที่หลายคนอาจมองข้ามให้เป็นเรื่องน่าสนใจ ทำให้ผู้ที่ได้รับชมภาพยนตร์โฆษณาชื่นชอบแล้วแชร์ต่อเป็นทอดๆ ไม่จำเป็นต้องใช้การส่งเสริมการขายที่มีต้นทุนสูง

โดยสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาขึ้นมา 2 ชุดได้แก่ ภาพยนตร์โฆษณาของ Dentiste' Mouth Spray Extra Fresh คอนเซ็ปท์ “เพราะคนที่คุณรักอาจตายได้ รักเค้า ห่วงเค้า บอกเค้า บอกเค้า ส่วนอีกตัวเป็นการเผยโฉมสินค้าใหม่ คือ Smooth-E Cleansing oil with serum ทั้งนี้ แคมเปญโฆษณาดังกล่าวได้ผลเกินคาด โดยเฉพาะสมูทอี เปิดตัวโฆษณาเพียง 7 วันแรกผ่านสื่อโซเชียล มีผู้คนแชร์ต่ออย่างรวดเร็วมากกว่า 1.8 -2 ล้านวิว

ซึ่งแคมเปญทั้งสองชุดเป็นกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่สื่อสารข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์
“Planet คือโลกสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสินค้าและบริษัทที่ทำเรื่องดี เช่น ช่วยเรื่องรักษ์โลก แก้โลกร้อน ช่วยกันสร้างสรรค์โลกในหลายๆด้าน ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่บริษัททำต่อเนื่องมาระยะหนึ่งแล้วและผู้บริโภคยุคใหม่มีพฤติกรรมการบริโภคสินค้าจาก Story Telling มีภาพยนตร์โฆษณาเป็นสื่อกระจายส่งต่อข่าวสารอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ต้นทุนไม่สูงและสร้างยอดขายได้ กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน


ภก.ดร.แสงสุข กล่าวถึงผลประกอบการปี 2562 ว่า มีรายได้และผลกำไร เติบโต 15% ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจและภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังชะลอตัว ทำให้บริษัทกลับมาทำการตลาดแบบ Segmentation, Mixed Marketing และการทำ Emotional Marketing
สำหรับเป้าหมายในปี 2563 บริษัทเร่งขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆและใช้การตลาดรูปแบบใหม่ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อรุกฐานผู้บริโภคกลุ่มใหม่ รวมทั้งลุยตลาดต่างประเทศ ซึ่งแบรนด์เดนทิสเต้จ้างเอเจนซี่แบรนด์ระดับโลกที่เคยวางแผนให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่ โดยล่าสุด แบรนด์ “เดนทิสเต้” เจาะตลาด 25 ประเทศ ทั้งในญี่ปุ่น เกาหลี คาดภาพรวมของกลุ่มสยามเฮลธ์กรุ๊ปจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%

ล่าสุด บริษัทได้เร่งกระจายสินค้า ทั้ง Dentiste' Mouth Spray Extra Fresh และ Smooth-E Cleansing oil with serum ในช่องทางต่างๆอย่างครอบคลุม ทั้งกลุ่มร้านขายยา โดยเฉพาะร้านขาย P&F ของสยามเฮลธ์กรุ๊ปทั้ง 70 สาขาทั่วประเทศและร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำ.


ด้าน ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล Product Manager กล่าวถึงแนวคิดหลักของแคมเปญโฆษณา Dentiste' Mouth Spray Extra Fresh ว่า จากการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ กลิ่นปากเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น นอนดึก เครียด ร่างกายอ่อนแอ ทำให้เกิดแบคทีเรียมากในช่องปาก ท้องอืด กรดไหลย้อน ลำไส้มีปัญหา อาจเกิดจากโรคมะเร็งลำไส้ ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา ปอดมีปัญหา ที่สำคัญส่งผลถึงเสียชีวิตได้

ข้อมูลทั้งหมดต้องการกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนแนวคิดจากที่เคยคิดว่า กลิ่นปากเป็นเรื่องเล็ก แท้ที่จริงเป็นปัญหาใหญ่และเดนทิสเต้มีสินค้าที่สามารถแก้ปัญหาตรงจุด เนื่องจาก DENTISTE' MOUTH SPRAY EXTRA FRESH มี Clove oil มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และ Post biotic 2 ชนิด จัดการแบคทีเรียที่อยู่ลึกลงไปและปรับสมดุลลำไส้ เป็นผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นปาก

ขณะที่ ศิวกร พิทยานุกุล Product Manager ย้ำถึงแคมเปญ Smooth-E Cleansing oil with serum เพื่อเน้นความสำคัญของการชำระล้างอย่างหมดจดเหมือนการกล้าเปิดเผยปัญหาต่างๆ ว่า สมูทอีใช้เวลาศึกษามาเป็นเวลานาน และพบว่า 83% ของผู้หญิงที่ถูกทำร้ายเลือกที่จะปกปิด เพราะอายที่จะบอกใคร

โดยตั้งเป้าหมายเปลี่ยนแปลงความคิดของสังคม ให้ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายกล้าเปิดเผย ทำให้รู้ว่าพวกเขามีทางเลือกอื่น นอกจากการปิดบังคนรอบข้าง โดยการเปิดเผยให้คนรอบข้างรู้ เพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ ไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวและต่อสู้กับปัญหาเพียงลำพัง

ทั้งนี้ แคมเปญโฆษณาดังกล่าวได้ผลเกินคาด โดยเฉพาะสมูทอี เปิดตัวโฆษณาเพียง 7 วันแรกผ่านสื่อโซเชียล มีผู้คนแชร์ต่ออย่างรวดเร็วมากกว่า 1.8 -2 ล้านวิวไม่เคยเกิดขึ้นและเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ทั้งคลิกดู แชร์ คอมเม้น ซึ่งคอมเมนท์ของทุกคน ทำให้คนที่ถูกทำร้ายอีกจำนวนมากที่มีหลักฐานการถูกทำร้าย กล้าเปิดเผย แชร์ต่อว่าเคยไปเจออะไรมา รอยเย็บ รอยช้ำ บาดแผล อยากเอามาแชร์ให้คนอื่น ถือเป็นสิ่งที่ดี เป็นสัญญาณที่ดีมากของการได้ช่วยเหลือสังคม


กำลังโหลดความคิดเห็น