เอ็กโก กรุ๊ปทุ่มงบลงทุนในปีนี้ 3 หมื่นล้านบาทเพื่อลงทุนโครงการต่อเนื่อง และแสวงหาการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่เน้นต่างประเทศ พร้อมปรับวิสัยทัศน์ใหม่รับการเปลี่ยนแปลงพลังงาน ระบุกำไรสุทธิปี 2562 อยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาทลดลงจากปีก่อน
นายกัมปนาท บำรุงกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ดร.กัมปนาทกล่าวว่า ในปี 2563 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง รวมถึงการลงทุนในโครงการใหม่
บริษัทยังมุ่งเน้นการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะขยายการลงทุนในประเทศที่มีฐานอยู่แล้ว เช่น ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และเจาะตลาดในประเทศใหม่ๆ อาทิ ไต้หวัน รวมทั้งต่อยอดไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ การจัดหาเชื้อเพลิงและการให้บริการด้านพลังงาน รวมทั้งยังแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก เช่น Smart Energy Solution
ในขณะเดียวกัน เอ็กโก กรุ๊ปยังให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และการบริหารจัดการโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนดและภายใต้งบประมาณที่วางไว้
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ปมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง “กังดง” ประเทศเกาหลีใต้ ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณร้อยละ 82.45 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/2563 และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเทิน 1” สปป.ลาว ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณร้อยละ 66 ซึ่งคาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2 /2565 นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่เป็นธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณร้อยละ 22.15 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 4/2564
นายกัมปนาทกล่าวว่า บริษัทฯ ได้ปรับวิสัยทัศน์ใหม่ โดยมุ่งเป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจพลังงานอย่างยั่งยืน ด้วยความใส่ใจที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคมเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจ มุ่งเน้นการผลิตและให้บริการด้านพลังงาน ครอบคลุมการผลิตไฟฟ้า ซึ่งยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัท และแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องเพื่อเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจในภาพรวม ตลอดจนเปิดกว้างเรื่องพื้นที่การลงทุนที่ไม่ได้จำกัดอยู่ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
สำหรับผลประกอบการบริษัทในปี 2562 มีกำไรสุทธิจำนวน 13,059 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 8,014 ล้านบาท หากไม่รวมกำไรจากการขายเงินลงทุนจํานวน 14,177 ล้านบาท บริษัทฯ มีกำไรจากการดําเนินงานปกติจำนวน 10,368 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจํานวน 1,173 ล้านบาท ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท ซึ่งหากได้รับการอนุมัติเท่ากับบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลตลอดปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 6.50 บาท