ส.อ.ท.ตั้งวอร์รูมศึกษาผลกระทบโควิด-19 วาง 4 กรณีการแพร่ระบาดหากคุมได้และจบภายในมี.ค.ศก.ไทยลุ้นโตได้ 2% จบไม่เกิน มิ.ย.-ก.ค.ยังโตเล็กน้อยหรือทรงตัว หากยาวไป ก.ย.เศรษฐกิจไทยส่อแววติดลบ และสิ้นปีจะกระทบรุนแรง พบล่าสุดสต๊อกสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าจากจีนเพื่อประกอบและผลิตบางส่วนเริ่มขาด ผู้ประกอบการดิ้นหาแหล่งอื่นทดแทน หวังรัฐคลอดมาตรการรับมือทั้งระยะสั้น กลาง ยาว
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคณะทำงานศึกษาผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะทำงานศึกษาผลกระทบเทรดวอร์ได้ทำการขยายการศึกษาผลกระทบกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไว้รัสโคโรนา หรือโควิด-19 ที่จะมีต่อภาคอุตสาหกรรมไทย โดยแบ่งเป็น 4 กรณี (Scenario) ได้แก่ 1. กรณีดีสุดการแพร่ระบาดควบคุมได้จบภายใน มี.ค. 63 เศรษฐกิจโลกและไทยจะไปได้ต่อ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทย หรือ GDP จะมีโอกาสโต 2% จากปีก่อน 2. กรณีการควบคุมการแพร่ระบาดได้ไม่เกิน มิ.ย.-ก.ค. 63 ที่เหลือครึ่งปีเศรษฐกิจไทยภาพรวมไม่น่าจะเสียหายมากนักยังพอรับได้ โดยอาจจะโตเล็กน้อยหรือทรงตัว 3. กรณีการแพร่ระบาดควบคุมได้ภายใน ก.ย. เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากมีแนวโน้มจะติดลบ และ 4. หากลากยาวและจบสิ้นปีเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง
“ผลกระทบที่ศึกษาได้รวบรวมความเห็นจากสมาชิก ส.อ.ท. 45 กลุ่มที่ได้มีการทยอยตอบแบบสอบถามกลับมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว โดยมีความจำเป็นที่เอกชนจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับภาครัฐที่เราคาดหวังว่าจะเร่งออกมาตรการต่างๆ เข้ามารับมือเป็นระยะทั้งสั้น กลาง ยาว เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบไปมากกว่าที่ควรจะเป็น” นายเกรียงไกรกล่าว
จากการสอบถามพบว่าโควิด-19 มีผลกระทบเบื้องต้นต่อภาคอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องกับธุรกิจท่องเที่ยวหรือ Cluster ท่องเที่ยวหลังจากการแพร่ระบาดทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงไปอย่างมากโดยเฉพาะจากจีน เช่น ธุรกิจโรงแรม อุตสาหกรรมอาหาร สปา ของฝากของที่ระลึก หัตถกรรม สมุนไพร เครื่องสำอาง รถเช่า สถานที่จัดประชุม เป็นต้น และจากการที่จีนประกาศปิด 14 มณฑลเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดยังส่งผลต่อการผลิตและการส่งออกของไทยโดยไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังเมืองดังกล่าวได้ในระยะนี้ซึ่งไทยส่งออกไปจีน 12% โดยช่วงปัญหาเทรดวอร์บางอุตสาหกรรมยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่กรณีโควิด-19 ได้รับผลกระทบมากขึ้น
ขณะเดียวกัน จีนยังเป็นแหล่งสำคัญในการนำเข้าสินค้าของไทยคิดเป็น 21% เช่น แผงโซลาร์ เครื่องจักร แผงวงจรไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ สารเคมีบางประเภท สารตั้งต้น แร่ธาตุ ฯลฯ ที่ขณะนี้สต๊อกสินค้าบางรายการที่นำเข้ามาเริ่มขาด ทำให้มีการวางแผนรับมือด้วยการจัดหาจากประเทศอื่นๆ ทดแทน ทั้งจากอินเดีย สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ฯลฯ โดยหลายรายแสดงความวิตกว่าจะจัดหาเพื่อนำมาผลิตแล้วจัดส่งให้ลูกค้าทันหรือไม่ และบางรายระบุว่ายังจัดหามาทดแทนไม่ได้และในที่สุดอาจต้องนำไปสู่การหยุดผลิต
“มีการเปิด LC เพื่อจัดซื้อวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีน แต่ยังคงไม่มีคำตอบว่าจะส่งมาไทยได้เมื่อไร ซึ่งอาจทำให้บางรายหากหาวัตถุดิบไม่ได้ก็ต้องชะลอการผลิตตามไปด้วย หากสถานการณ์ยืดเยื้อก็จะยิ่งลำบาก สิ่งที่ห่วงคือวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) จะแบกภาระการขาดสภาพคล่องได้ไม่นาน และคงต้องติดตามใกล้ชิดเพราะขณะนี้เชื้อยังคงมีการแพร่ระบาดไปอีกหลายประเทศทั่วโลกซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง” นายเกรียงไกรกล่าว