เมื่อวันที่ 21 ก.พ. เวลา 14.00-18.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและติดตามงานกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ โดยเน้นที่ผลการดำเนินงานตามนโยบายและมอบแนวทางการปฏิบัติในปี 2563 พร้อมวางแผนรองรับการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรฤดูกาลนี้ โดยนายจุรินทร์ได้ติดตามทุกจังหวัดที่มีการโอนเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรในพืช 5 ชนิด สอบถามถึงอุปสรรคปัญหา จากนั้นติดตามนโยบายการเชื่อมโยงตลาดสินค้าเกษตรภายในประเทศ สถานการณ์ภัยแล้ง การส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน-สตาร์ทอัพ การส่งเสริมสินค้า GI (สินค้าจากแหล่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) การส่งเสริมด้านการค้าชายแดน การดูแลค่าครองชีพ การดูแลราคาสินค้าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และการส่งเสริมพัฒนาตลาดในท้องถิ่น ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง
ระหว่างการประชุมได้ให้ความสำคัญต่อการวางแผนรองรับหาตลาดให้กับกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ โดยสั่งการให้กรมการค้าภายในประสานกับพาณิชย์จังหวัดที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ หาผู้ประกอบการรับซื้อเพิ่มจากรายเดิม ให้กรมการค้าภายในประสานงานฝ่ายความมั่นคงและเพิ่มการตรวจตราการลักลอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กรณีใบอนุญาตขนย้ายจะต้องมีการรายงานมาที่ส่วนกลางทุกระยะ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหากรณีผลไม้ในฤดูกาลนี้จะต้องเร่งทุกมาตรการโดยเฉพาะตลาดรองรับภายในประเทศ และอื่นๆ และไทย พาณิชย์ทุกจังหวัดรวบรวมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเพื่อรองรับนโยบายการค้าชายแดน
นายจุรินทร์ให้นโยบายโดยสรุปว่า 1) พาณิชย์จังหวัดเป็นหนึ่งในบุคลากรที่สำคัญของกระทรวง จึงให้ความสำคัญต่อพาณิชย์จังหวัดเสมอ และถือเป็นเบอร์หนึ่งของการปกครองในส่วนภูมิภาคของกระทรวงพาณิชย์ นโยบายต่างๆ ของกระทรวงไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลย หากส่วนภูมิภาคไม่มีความเข้มแข็ง พาณิชย์จังหวัดจึงต้องมีความมั่นใจในตัวเอง และขอให้มั่นใจว่าฝ่ายนโยบายทุกคนเห็นว่าพาณิชย์จังหวัดมีศักดิ์ศรี และมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะในระดับจังหวัด แต่รวมถึงระดับประเทศ ทุกท่านจึงเป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ขอให้ทุกท่านต้องตระหนักถึงสิ่งนี้ ขอให้กล้าออกมายืนข้างหน้าเป็นทัพหน้าหรือแม่ทัพตัวจริงในต่างจังหวัด ในส่วนภูมิภาค และมีความสำคัญไม่แตกต่างกันกับทูตพาณิชย์
2) พาณิชย์จังหวัดต้องรอบรู้และเข้าใจถ่องแท้ถึงนโยบายและรัฐบาลและกระทรวง เนื่องจากท่านเป็นผู้ปฏิบัติตัวจริง ในการแปลงนโยบายกระทรวงให้เป็นผลปฏิบัติให้ได้ ความทุ่มเท ความเข้าใจในนโยบาย และความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานอื่นๆ ในส่วนภูมิภาคจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานของท่านให้ประสบผลสำเร็จ 3) เน้นย้ำให้ท่านเพิ่มบทบาทการเป็น Facilitator เป็นผู้ให้บริการประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ เกษตรกรต้องการรู้ว่าจะขายอย่างไร ที่ไหน ไม่ใช่แค่วิธีการผลิต นี่คือหัวใจสำคัญ และเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการเห็น หากทำได้ พาณิชย์จังหวัดก็จะสามารถเติบโตก้าวหน้าในอนาคตได้ พาณิชย์จังหวัดต้องเป็นเซลส์แมนของจังหวัด เหมือนทูตพาณิชย์เป็นเซลส์แมนของประเทศ และ 4) นโยบาย คือ หากพาณิชย์จังหวัดมีผลงาน จะไม่ได้แค่เติบโตแค่ระดับจังหวัด แต่จะสามารถก้าวหน้าเป็นรองอธิบดีได้ ซึ่งได้หารือกับท่านรัฐมนตรีช่วยและท่านปลัดกระทรวงแล้ว