“บอร์ดบีโอไอ” เห็นชอบ 3 มาตรการพิเศษเพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ทั้งกิจการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และบริการเป้าหมาย อัดสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ปรับคำจำกัดความเอสเอ็มอีเพิ่มสิทธิประโยชน์เว้นภาษีเปิดยื่น 2 มี.ค.นี้ ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมฯ ลงทุน ศก.ฐานราก ขยายเวลาให้ยื่นออกไปอีก 1 ปี พร้อมเปิดประเภทใหม่ให้ส่งเสริมรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยวและบ้านผู้มีรายได้น้อย
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ว่าบอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบ 3 มาตรการเพื่อเร่งรัดการลงทุนในประเทศให้เร็วขึ้นโดยในส่วนของกิจการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายที่มีผลกระทบสูงต่อเศรษฐกิจของประเทศ (กิจการกลุ่ม A1, A2 และ A3) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5-8 ปี แต่ไม่รวมกิจการที่ไม่มีที่ตั้งสถานประกอบการ เช่น กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการขนส่งทางเรือ เป็นต้น) ซึ่งผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกพื้นที่ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 5 ปี หากมีการลงทุนจริง (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ภายในปี 2563 หรือไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้สำหรับคำขอรับการส่งเสริมที่ยื่นตั้งแต่ 2 มกราคม 2562 ถึง 30 ธันวาคม 2563 ซึ่งหากดำเนินการกระตุ้นการลงทุนตามมาตรการนี้แล้ว คาดว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการลงทุนได้มากกว่า 200,000 ล้านบาท ในระยะปี 2563 - 2564 นี้
ส่วนมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี มีการกำหนดคำจำกัดความของเอสเอ็มอีใหม่ คือ เป็นกิจการที่ต้องถือหุ้นโดยบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยไม่น้อยกว่า 51% และจะต้องมีรายได้ของกิจการทั้งที่ได้รับการส่งเสริมและไม่ได้รับการส่งเสริมไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ใน 3 ปีแรก ในกรณีตั้งกิจการในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติ บุคลเพิ่มเติมอีก 1 ปี ขณะที่หากตั้งในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วน 200% ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ด้วย ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอรับส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2563 ถึง วันทำการสุดท้ายของปี 2564
สำหรับการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก มีการขยายระยะเวลาการยื่นขอรับการส่งเสริมออกไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564 และขยายขอบข่ายคุณสมบัติของผู้ขอรับการส่งเสริมให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยให้รวมถึงผู้ประกอบการที่มีกิจการที่ดำเนินกิจการอยู่เดิมแต่ยังไม่เคยได้รับการส่งเสริมมาก่อนด้วย การปรับปรุงประเภทกิจการด้านการท่องเที่ยว บีโอไอ ได้ปรับปรุงประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า และกิจการโรงแรม โดยประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า ได้ขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมรถรางไฟฟ้า เพื่อการท่องเที่ยวด้วย และกำหนดเงื่อนไขต้องมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท แต่ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน
นอกจากนี้ยังเปิดประเภทกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการยกเว้นภาษี เงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดี กำหนดหลักเกณฑ์ เช่น กรณีอาคารชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร กรณีบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร โดยมีราคาขายต่อหน่วย ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) กรณีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร และไม่เกิน 1 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) ในกรณีตั้งในจังหวัดอื่นๆ เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ก่อนยื่นขอรับการส่งเสริมซึ่งกำหนดให้ยื่นคำขอภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563
น.ส.ดวงใจกล่าวว่า บอร์ดบีโอไอยังเห็นชอบอนุมัติให้การส่งเสริมแก่กิจการผลิตยางล้อสำหรับยานพาหนะ จำนวน 1 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 7,915 ล้านบาท ตั้งโครงการในนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จังหวัดระยอง วัตถุดิบหลักในการผลิต ได้แก่ ยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ โดยจะใช้ยางธรรมชาติในประเทศ ประมาณ 40,200 ตัน/ปี