กลุ่ม ปตท.มุ่งมั่นร่วมลดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ทั้งการประกันคุณภาพน้ำมัน สนับสนุนการใช้ก๊าซฯ ที่เป็นเชื้อเพลิงสะอาดในภาคอุตสาหกรรม ขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และปลูกป่า
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองสะสมสูง ได้แก่ 1. การเผาไหม้ในที่โล่งแจ้ง 24.6-37.8% 2. การเผาไหม้ของไอเสียของรถยนต์ดีเซลที่ไม่สมบูรณ์ 20.8-29.2% 3. ปัญหาฝุ่นละอองทั่วไปและการก่อสร้าง 15.2-20.7% 4. ปัจจัยอื่นๆ อาทิ ความกดอากาศ ช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ. กระแสลม และการใช้พลังงานในอาคารและครัวเรือน
กลุ่ม ปตท.มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยไม่ให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การผลิตน้ำมันไร้สารตะกั่วเป็นรายแรก จนถึงพลังงานทางเลือกซึ่งเป็นพลังงานสะอาด เช่น ก๊าซธรรมชาติ แก๊สโซฮอล์ ตลอดจนพัฒนาไบโอดีเซล ถือเป็นเชื้อเพลิงสะอาด เผาไหม้สมบูรณ์ ช่วยในการลดมลพิษทางอากาศ
ทั้งนี้ จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ โดยสถาบันนวัตกรรม ปตท. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทดสอบการใช้ B10 และ B20 เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้งานจริง พบว่ารถกระบะเครื่องยนต์ยูโร 4 ที่ใช้ไบโอดีเซล B10 สามารถช่วยลด PM 2.5 ได้ถึงร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับการใช้ไบโอดีเซล B7 ซึ่งกลุ่ม ปตท.ได้ประกาศความพร้อมในการขยายสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัน PTT UltraForce Diesel B10 ให้ครบทุกสถานีภายในเดือนมีนาคม 2563 รวมถึงส่งเสริมการใช้ B20 ในกลุ่มรถขนาดใหญ่ เน้นการใช้ผ่านรถโดยสารสาธารณะ เช่น รถเมล์ ขสมก. บขส. ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะต่างๆ อีกด้วย
สำหรับการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซล กลุ่ม ปตท.ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงโรงกลั่นเพื่อรองรับการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 5 คุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต เพื่อสอดรับตามแผนของนโยบายรัฐบาล
ในด้านการใช้พลังงานทางเลือกสำหรับอนาคต กลุ่ม ปตท.มุ่งส่งเสริมเทคโนโลยีและสนับสนุนการพัฒนางานวิจัยอุปกรณ์สำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) และมีแผนที่จะขยาย EV Charging Station ในสถานีบริการน้ำมันโดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 77 สถานี ในปี 2563 และเพิ่มเป็น 300 สถานี ภายในปี 2567 รวมทั้งสนับสนุน Start Up ด้านยานยนต์ไฟฟ้า เช่น รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมศึกษาวิจัยความเหมาะสมของเทคโนโลยีระบบการบำบัด PM 2.5 ในการช่วยบรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศ
นอกจากนี้ มีแผนดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะในปี 2564 โดยมีมาตรการในการจัดการมลพิษทางอากาศด้วยระบบดักฝุ่นได้มากกว่าร้อยละ 95 พร้อมติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปล่องระบายแบบต่อเนื่อง
รวมทั้งดำเนิน “โครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อลดฝุ่นละออง PM 2.5 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล” ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้เชื้อเพลิง และสนับสนุนปรับเปลี่ยนใช้พลังงานสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2563 ซึ่งหากไม่มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมอย่างเช่นปัจจุบัน จะทำให้มีการปล่อย PM 2.5 ถึงวันละ 86 ล้านกรัมต่อวัน หรือมากกว่าในปัจจุบันถึง 96%
“การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินมาตรฐาน ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้โดยการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เริ่มตั้งแต่การหยุดการเผาในที่โล่งแจ้ง ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพ ควบคู่กับการตรวจสอบสมรรถนะเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์อยู่เสมอ ซึ่งกลุ่ม ปตท.โดยศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ของโออาร์ ได้จัดโปรโมชันร่วมบรรเทาปัญหาฝุ่นละออง โดยให้บริการตรวจเช็กสภาพรถฟรี 30 รายการ พร้อมการมอบส่วนลดพิเศษทั้งน้ำมันหล่อลื่นและการล้างแอร์รถยนต์ จนถึงสิ้นเดือน ก.พ.นี้ อีกส่วนที่ทุกคนสามารถช่วยกันได้ คือ ร่วมกันปลูกและดูแลต้นไม้ ในโครงการ “ปลูกเพื่อเปลี่ยน” ทั้งที่บ้าน สถานศึกษา รวมทั้งที่ทำงาน เพื่อช่วยดูดซับมลภพิษ ฝุ่นละออง และลดปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน”
ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท.เองได้เดินหน้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการปลูกป่า 1 ล้านไร่ จนขยายผลมาสู่การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง ศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์ จ.ระยอง และศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โครงการ Our Khung Bangkachao เพื่อให้คุ้งบางกะเจ้ากลับมามีความสมบูรณ์เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ผลิตออกซิเจนให้กรุงเทพฯ ถึงปีละ 9 เดือน และโครงการ Green Bangkok 2030