“จุรินทร์” บุกตรวจโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ขอประชาชนเบาใจสินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการแน่นอน ยัน 10 โรงงานใหญ่ผลิตได้รวมกันเดือนละ 100 ล้านชิ้น สต๊อกล่าสุดมีถึง 200 ล้านชิ้น ใช้ได้ 4-5 เดือน วอนอย่าซื้อเก็บ ซื้อตุน ซื้อเท่าที่จำเป็น เผยได้ตั้งวอร์รูม มีกรมการค้าภายในทำหน้าที่ประสานผู้ผลิต ผู้ขายค้า ร้านค้าปลีก จัดสินค้าอย่าให้ขาด พร้อมสั่งตรวจตลาดถี่ยิบสกัดโก่งราคา
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ณ บริษัท ไทยฮอสพิทอล โปรดักส์ จำกัด ที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ว่า ได้ไปดูโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยว่ามีกำลังการผลิตเพียงพอต่อความต้องการในขณะนี้ที่พี่น้องประชาชนในประเทศจำเป็นต้องใช้เพื่อป้องกันไวรัสโคโรนา โดยพบว่ากำลังการผลิตทั้งระบบมี 10 โรงงานใหญ่ สามารถผลิตได้รวมกันเดือนละ 100 ล้านชิ้น มีความต้องการใช้ในประเทศเฉลี่ยเดือนละ 30 ล้านชิ้น แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่พัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้น และความต้องการใช้จะเพิ่มจาก 30 ล้านชิ้น เป็น 40 และ 50 ล้านชิ้นต่อเดือนก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะเท่าที่ประเมินเบื้องต้นยังมีกำลังการผลิตเพียงพอ และสต๊อกปัจจุบันก็มีมากถึง 200 ล้านชิ้น สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างน้อย 4-5 เดือน ถ้าไม่มีการผลิตเพิ่ม แต่ก็มีการผลิตเพิ่มเรื่อยๆ จึงไม่น่ามีปัญหาอะไร
“ไม่อยากให้พี่น้องประชาชนตื่นตระหนก และกังวลว่าจะไม่มีหน้ากากอนามัยเพียงพอนำไปใช้ป้องกันไวรัส และไม่อยากให้ไปกว้านซื้อเพราะกลัวว่าของจะขาดตลาด หากยิ่งตระหนก ยิ่งกว้านซื้อมาเก็บ ก็ยิ่งจะเป็นสาเหตุให้สินค้าขาดตลาด หรือสินค้าขาดตลาดเป็นช่วงๆ ได้ จึงขอให้ซื้อในอัตราปกติ ซื้อแค่เพียงพอใช้ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับผู้ผลิตแล้ว และผู้ผลิตยืนยันว่าทำได้ทันความต้องการใช้ เป็นสิ่งที่อยากสื่อสารถึงพี่น้องประชาชน”
นายจุรินทร์กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังได้ตั้งวอร์รูม มีกรมการค้าภายในเป็นผู้ประสานงานหลัก ทำหน้าที่ประสานกับผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง 10 ราย ให้เร่งกำลังการผลิต ประสานผู้ขายส่ง ร้านค้าปลีก เพื่อให้ปริมาณหน้ากากอนามัยมีเพียงพอต่อความต้องการ และยังได้ประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งได้ติดตามดูแลในเรื่องราคาจำหน่ายให้เป็นธรรม ซึ่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบการจำหน่ายอย่างใกล้ชิด ป้องกันการกักตุน โก่งราคาแล้ว หากพบปัญหาที่ไหน ก็ให้รายงานมาโดยเร็ว หรือหากพบทำผิดกฎหมาย ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที ส่วนผู้บริโภคหากไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็สามารถร้องเรียนเข้ามาได้ที่สายด่วน 1569 หรือที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดได้รับรายงานจากทูตพาณิชย์ของไทยที่ประจำอยู่ในจีน เช่น ที่เซี่ยเหมิน และหนานหนิง มีความประสงค์ที่จะขอนำเข้าหน้ากากอนามัยจากไทย และขอทราบแหล่งผลิต ซึ่งได้อำนวยความสะดวกไปแล้ว เพราะหน้ากากอนามัยที่ไทยผลิตใช้ทั้งจำหน่ายในประเทศและส่งออก ซึ่งไม่ได้ปิดกั้นหรือสกัดกั้นการส่งออก โดยผู้ผลิตยังสามารถส่งออกไปจีนได้ ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อมนุษยธรรม และช่วยจีนในการรับมือกับการระบาดของไวรัส
“มองว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการเข้มงวด ทั้งการจำกัดปริมาณการซื้อหน้ากากอนามัยของประชาชน หรือการจำกัดการส่งออกเพื่อให้สินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ เพราะเท่าที่ประเมินจนถึงขณะนี้สินค้ายังมีเพียงพอ มีทั้งสต๊อกเก่า และสินค้าที่กำลังผลิตเข้ามาใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีความจำเป็น หรือถึงเวลาที่ต้องใช้มาตรการเข้มงวดก็จะพิจารณาต่อไป” นายจุรินทร์กล่าว