"จุรินทร์" ระบุสต๊อกหน้ากากอนามัยในไทยมีเพียงพอ สั่งกรมการค้าภายในดูแลปริมาณ-ห้ามกักตุนหรือโก่งราคา เผยหลายเมืองในจีนต้องซื้อหน้ากากอนามัย-ถุงมือยางพาราจากไทยเพิ่มขึ้น
วันนี้ (28 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงปริมาณสต๊อกหน้ากากอนามัยในประเทศไทย เพราะตอนนี้ถือเป็นสินค้าที่ประชาชนจำนวนมากมีความต้องการใช้ป้องกันปัญหาฝุ่นละอองและเชื้อไวรัสโคโรนา ว่า ขณะนี้ เรื่องปริมาณหน้ากากอนามัยในไทยยังไม่มีผลกระทบอะไร เพราะตนได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจาก หน้ากากอนามัยเป็นวัสดุทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นจะต้องใช้ในช่วงระยะเวลาที่มีปัญหาเรื่องเชื้อไวรัสโคโรนา ขณะเดียวกัน จากข้อมูลในเบื้องต้นพบว่าในประเทศไทยมีการผลิตหน้ากากอนามัยโดยเฉลี่ยเดือนละ 30 ล้านชิ้น อย่างไรก็ตาม กรมการค้าภายในจะเชิญผู้ผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทยที่มี 10 ราย มาหารือที่กระทรวงพาณิชย์ ในวันที่ 29 ม.ค.นี้ เพื่อจะเข้าไปช่วยดูแลเรื่องปริมาณการผลิตหน้ากากอนามัยให้มีเพียงพอกับความต้องการของประชาชนในประเทศ พร้อมกับป้องกันการกักตุน รวมถึงดูแลราคาหน้ากากอนามัยให้อยู่อัตราที่สมเหตุสมผล ไม่มีการโก่งราคาในภาวะที่จำเป็นต้องการใช้สินค้าดังกล่าวมากเป็นพิเศษ
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับการค้าขายกับประเทศจีนนั้น หลังจากที่ตนมอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์ในจีนที่มี 7 แห่ง ประชุมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและผู้ที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลจีน ซึ่งประเมินสถานการณ์ทั้งหมดแล้วได้รายงานว่าขณะนี้บางเมืองในจีนเริ่มมีความต้องการที่จะนำเข้าหน้ากากอนามัยและถุงมือยางพาราจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น อาทิ นครเฉิงตู เมืองเซี่ยเหมิน นี่จึงทำให้ตนสั่งการให้กรมการค้าภายในไปตรวจดูปริมาณการผลิตสินค้าทั้ง 2 ชนิดนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีเพียงพอกับตลาดในและต่างประเทศ ซึ่งไทยพร้อมส่งออกสินค้าดังกล่าวไปให้จีน เพื่อนำรายได้เข้าประเทศ แต่ต้องคำนึงถึงความต้องการและความจำเป็นในประเทศเราด้วย รวมถึงจะต้องไม่ส่งผลให้สินค้าเหล่านี้มีราคาสูงเกินไป
เมื่อถามว่ามีชาวจีนในไทยบางส่วนกว้านซื้อหน้ากากอนามัยในไทยซึ่งคาดว่าเพื่อนำกลับไปใช้จีนหรือจะส่งไปให้ญาติที่อยู่ในประเทศดังกล่าว นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่เป็นอะไร เราสามารถจำหน่ายได้ แต่ตนคิดว่าผู้ผลิตจะต้องปรับเพิ่มกำลังการผลิต แต่ต้องไม่ให้เกิดการโก่งราคา ทั้งนี้ยังไม่จำเป็นที่จะต้องกำหนดให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม