“พาณิชย์” ยันน้ำมันบริโภคไม่ขาดแคลนหลังราคาน้ำมันปาล์มขวดขยับ เผยไม่เกินเพดานขวดละ 42 บาทแน่ เหตุสต๊อกมีพอ และผลผลิตใหม่กำลังออก ชี้ยังมีน้ำมันบริโภคทางเลือกอีกมาก อัดพวกปล่อยข่าวนำเข้าไม่มีมูลความจริง คาดปีนี้ราคาผลปาล์มสูงต่อเนื่อง หลังกำหนดบี 10 เป็นน้ำมันมาตรฐาน นำส่วนเกินไปผลิตไฟฟ้า และคุมเข้มนำเข้า ระบุอาจไม่ต้องจ่ายส่วนต่างประกันรายได้อีก
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีราคาน้ำมันปาล์มขวดปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนผลปาล์มดิบที่ปรับขึ้นเป็นกิโลกรัม (กก.) ละ 7.00-7.20 บาท และทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบผลิตน้ำมันปาล์มขวดสูงขึ้นตามไปด้วย ว่า กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดอย่างใกล้ชิด ยังไม่พบความผิดปกติ ขอให้ผู้บริโภคเบาใจว่าน้ำมันปาล์มขวดจะมีเพียงพอต่อการบริโภค เพราะขณะนี้สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบมีอยู่ในระดับที่เหมาะสมประมาณ 3 แสนตัน เพียงพอใช้บริโภคและใช้ในอุตสาหกรรม ส่วนราคาที่ปรับสูงขึ้นพบว่ายังไม่เกินขวดละ 42 บาท ซึ่งเป็นเพดานสูงสุดที่กำหนดไว้ ยกเว้นในพื้นที่ห่างไกลที่อาจจะมีภาระด้านต้นทุนค่าขนส่งอยู่บ้าง
“ยังตรึงราคาอยู่ได้ เพราะสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบที่นำมาผลิตน้ำมันปาล์มขวดที่เป็นต้นทุนเก่ายังมีอยู่ ทำให้ราคาไม่ปรับสูงขึ้นตามผลปาล์มดิบ และผู้บริโภคยังมีทางเลือกในการบริโภคน้ำมัน ทั้งน้ำมันถั่วเหลืองที่ขณะนี้ราคาอยู่ที่ขวดละ 33-36 บาท และยังมีน้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าวอีก จึงเบาใจได้ว่าไม่มีปัญหาเรื่องน้ำมันขาดแคลน และอยากขอย้ำในเรื่องการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบว่าไม่มีการหารือในเรื่องนี้แต่อย่างใด การนำเสนอข่าวของคนบางคนไม่มีมูลความจริง เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบยังไม่มีใครเคยพูดเรื่องนี้” นายวิชัยกล่าว
นายวิชัยกล่าวว่า ขณะนี้ผลผลิตปาล์มน้ำมันฤดูกาลใหม่กำลังจะออกสู่ตลาดประมาณกลางเดือน ก.พ. 2563 ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันปาล์มดิบเข้ามาเติมในสต๊อก และอาจจะทำให้ราคาผลปาล์มดิบปรับตัวลดลงบ้าง แต่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง และไม่ต้องกังวลว่าจะมีปริมาณสต๊อกเพิ่มขึ้น เพราะมาตรการของรัฐบาลที่มีอยู่ สามารถช่วยผลักดันราคาให้สูงขึ้น ทั้งการกำหนดให้น้ำมัน บี 10 เป็นน้ำมันพื้นฐาน การนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ยังมีอยู่อีก 9 หมื่นตัน และยังมีมาตรการควบคุมการนำเข้า ที่มีชุดเฉพาะกิจติดตามอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ ยังจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่มมาตรการกำหนดด่านที่จะอนุญาตให้มีการนำเข้า จากเดิมนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบได้ทุกด่านทั้งทางบก ทางทะเล เป็นเหลือด่านทางทะเล คือ ด่านมาบตาพุด ด่านกรุงเทพ (คลองเตย) และแหลมฉบัง ส่วนการขออนุญาตนำเข้าเพื่อข้ามแดน กำหนดให้นำเข้าได้ด่านเดียว คือ ท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) เท่านั้น และกำหนดด่านปลายทางที่จะนำผ่านไปยังแต่ละประเทศด้วย เพื่อป้องกันการนำเข้ามาและไม่มีการนำออกจริง รวมถึงจะเร่งติดตั้งมิเตอร์ที่ถังสต๊อกน้ำมันปาล์มทั้งประเทศแบบเรียลไทม์ เพื่อตรวจสอบตัวเลขสต๊อกจริง ซึ่งกำลังรองบประมาณดำเนินการอยู่ ซึ่งผลจากการดำเนินมาตรการ ทำให้ปีนี้อาจจะไม่ต้องจ่ายชดเชยส่วนต่างให้ชาวสวนปาล์มในโครงการประกันรายได้ก็ได้