นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ว่า นโยบายสำคัญคือ ให้ยกระดับการให้บริการสนามบินทั้ง 29 แห่งเป็น SMART AIRPORT, เป็นศูนย์กลางธุรกิจการบิน (HUB AIRPORTS) และมีมาตรฐานสากล (ICAO) โดยจะต้องมีการกำหนดแผนงานของทุกสนามบินให้มีประสิทธิภาพ และเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน
นอกจากนี้ ให้บริหารจัดการงบประมาณที่ตกค้างตั้งแต่ปี 2557-2562 และจัดทำแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) การใช้จ่ายงบประมาณปี 2563 เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ทันเวลา และดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างต้องมีประสิทธิภาพและดำเนินการถูกต้องตามสัญญา และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังมีสนามบินของ ทย.ที่มีผลประกอบการขาดทุนประมาณ 10 แห่ง ซี่งได้ให้ ทย.ทำการศึกษาถึงแผน และความเป็นไปได้ในการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบินเพื่อเพิ่มโอกาสในการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ โดยปัจจุบัน ทย.มีรายได้จากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน (Non Aero) ปีละกว่า 100 ล้านบาทเท่านั้น หรือมีสัดส่วนประมาณ 25% จึงต้องการให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด
ซึ่งสามารถพัฒนาได้ทั้งพื้นที่ร้านค้า โรงแรม หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ศูนย์คาร์โก้ โดยจะเลือกสนามบินที่มีศักยภาพดำเนินการนำร่อง เช่น กระบี่ อุดรธานี สุราษฎร์ธานี เป็นต้น
“สนามบินบางแห่งยังมีแต่ละพื้นที่ที่นำมาพัฒนาได้อีก โดยมุ่งเน้นการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์มากขึ้น ให้ทย.ไปศึกษาความเป็นไปได้ก่อน หากมีโอกาสให้ทำแผนนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ ยังต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น บริหารจัดการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปด้วย”
รายงานข่าวแจ้งว่า ทย.รายได้จากกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน (Non-Aero) เช่น ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และรายได้เบ็ดเตล็ดอื่นๆ (รวมค่าคัดกรองผู้โดยสาร APPS) ปีละกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเดิม ทย.มีแผนเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ด้วยการปรับอัตราค่าเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ของสนามบินทั้งหมด โดยรายได้จากสนามบิน ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ ทย.ต้องส่งเข้าคลัง 100% ขณะที่ปัจจุบันพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2562 ได้ปรับปรุงให้ ทย.นำรายได้ส่งเข้ากองทุนหมุนเวียนท่าอากาศยาน โดยจะเป็นสัดส่วนเท่าไรให้ตกลงกับกรมธนารักษ์ ซึ่งทำให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการและนำรายได้ไปพัฒนาสนามบินได้รวดเร็วขึ้น
