"สนธิรัตน์" สั่ง ปตท.-กฟผ.ใช้โอกาสที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเร่งรัดการลงทุนปี 2563 และชำระหนี้ระยะสั้น ย้ำมีข้อดีต่อราคาน้ำมันนำเข้าต้นทุนต่ำ พร้อมโชว์แผนงานเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้านพลังงานเพียบ คาดเม็ดเงินสะพัดลงชุมชนนับแสนล้านบาททั้งโรงไฟฟ้าชุมชน กองทุนอนุรักษ์ฯ ดีเซลบี 10 โรงไฟฟ้าขยะ ฯลฯ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังร่วมทำบุญตักบาตรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ร่วมกับเจ้าหน้าที่และข้าราชการของกระทรวงพลังงานวันนี้ (3 ม.ค.) ว่า จากภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าจึงได้กำชับให้ผู้บริหารของ บมจ.ปตท. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดใช้โอกาสนี้เร่งรัดการลงทุนในปี 2563 และการชำระหนี้เงินตราต่างประเทศระยะสั้นให้เร็วขึ้น
"บาทแข็งค่าก็ใช้โอกาสนี้ที่ ปตท.และ กฟผ.จะเร่งรัดการลงทุนปี 2563 ซึ่งเฉพาะ ปตท.คาดว่าจะลงทุนปีนี้นับแสนล้านบาท ยังไม่รวม กฟผ.อีก ขณะที่หนี้ส่วนที่เป็นหนี้ระยะสั้นและเครดิตเทอมต่างๆ ก็อยากให้เจรจาชำระหนี้ให้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังมีผลดีต่อการนำเข้าน้ำมันที่จะทำให้ต้นทุนลดต่ำลงทำให้ราคาน้ำมันไม่ได้สูงเกินไป" นายสนธิรัตน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม แผนงานของกระทรวงพลังงานเพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากปี 2563 ภาพรวมจะมีเม็ดเงินเพื่อกระจายรายได้ไปยังท้องถิ่นต่างๆ นับแสนล้านบาท โดยเฉพาะการพัฒนาโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดให้ดำเนินการโดยเร็ว ซึ่งภายในเดือน ม.ค.นี้จะมีการประกาศหลักเกณฑ์และเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอได้ ซึ่งเบื้องต้นกำหนดไว้ 700 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเกิดการลงทุนราว 70,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากกองทุนเพื่อการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2563 วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและการแก้ไขปัญหาภัยแล้งซึ่งจะมีการปรับรายละเอียดอยู่พอสมควร คาดว่าจะเสร็จเร็วๆ นี้และเปิดให้เอกชนมายื่นขอเงินสนับสนุนภายใน ม.ค.นี้และนำไปสู่การเบิกจ่ายเงินได้ภายในเดือน มี.ค. 63
ขณะเดียวกัน ยังจะส่งเสริมการใช้ดีเซลบี 10 ให้เป็นน้ำมันพื้นฐานแทนดีเซลบี 7 ในการเร่งดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อยกระดับราคาปาล์มต่อเนื่อง ซึ่งผลจากนโยบายดังกล่าวขณะนี้ได้ทำให้ราคาปาล์มทะลายไปอยู่สูงระดับกว่า 6 บาท ต่อกิโลกรัม เป็นต้น และภายในเดือน มี.ค.นี้จะมีแผนงานที่ชัดเจนในการดำเนินงานในฟากของน้ำมันแก๊สโซฮอล์เพื่อส่งเสริมเอทานอลที่จะยกระดับราคาอ้อยและมันสำปะหลัง
"หลังจากนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนได้ขับเคลื่อนเป็นรูปธรรมแล้ว ระยะต่อไปเราก็จะมองในเรื่องของโรงไฟฟ้าขยะให้เร็วขึ้นจากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี 2018) พ.ศ. 2561-80 ที่กำหนดสัดส่วนโรงไฟฟ้าขยะจากชุมชน 400 เมกะวัตต์ ขยะอุตสาหกรรม 44 เมกะวัตต์จากปลายแผนมาเป็นช่วงปี 2565 ซึ่งขณะนี้คณะทำงานกำลังดูสัดส่วนที่จะเกลี่ยกันระหว่างโรงไฟฟ้าขยะจากชุมชนกับขยะอุตสาหกรรม" นายสนธิรัตน์กล่าว