MEA จับมือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ EA ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยอัจฉริยะนำร่องระบบซื้อขายไฟแบบ Peer to Peer และ Smart Building โดยจะมีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป 20 เมกะวัตต์ และทดลองการซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ในระบบผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายแบบ Peer to Peer
วันนี้ (17 ธ.ค.) การไฟฟ้านครหลวง หรือ MEA พร้อมด้วยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ CU และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจโครงการพื้นที่ทดสอบมหาวิทยาลัยอัจฉริยะด้านพลังงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ระบบซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer และอาคารอัจฉริยะ เพื่อขับเคลื่อนวิถีชีวิตเมืองมหานครอัจฉริยะ เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน และรถยนต์ไฟฟ้า ครั้งแรกในประเทศไทยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นายกีรพัฒน์ เจียมเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง หรือ MEA กล่าวว่า MEA ในฐานะรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่จำหน่ายพลังงานไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ มีความมุ่งมั่นในการเดินหน้ามหานครอัจฉริยะ (Smart City) เพื่อยกระดับวิถีชีวิตเมืองมหานคร การลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ ทั้ง 3 ฝ่ายจะร่วมกันศึกษาและพัฒนาระบบซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer และอาคารอัจฉริยะ ในพื้นที่การศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นพื้นที่สำคัญ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและมีความต้องการใช้ไฟฟ้าในระดับสูง มีศักยภาพในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ประมาณ 20 เมกะวัตต์ (MW)
โดย MEA มีหน้าที่ในการออกแบบติดตั้ง Solar Rooftop และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบจำหน่ายไฟฟ้าในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สามารถรองรับการทดลองซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer รวมทั้งดูแลและควบคุมผลกระทบที่เกิดจากการซื้อขายไฟฟ้าให้อยู่ในวงจำกัด ไม่กระทบต่อโครงข่ายของระบบจำหน่ายไฟฟ้าในภาพรวม
โดยบันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีระยะเวลา 3 ปี ซึ่งจะช่วยให้ กฟน.มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่หลากหลาย เพิ่มความมั่นคง และความมีเสถียรภาพให้แก่ระบบจำหน่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการผลิตและใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ส่งผลดีต่อประเทศในการลดค่าใช้จ่ายการลงทุนก่อสร้างหรือเลื่อนระยะเวลาที่จะต้องก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ลงได้
ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาพื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยให้เป็นเมืองอัจฉริยะต้นแบบย่านแห่งนวัตกรรมที่สร้างสรรค์คุณค่าแก่ชุมชนและสังคม ผสานคุณภาพชีวิตและธุรกิจ มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำรงชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่งแนวคิดในการพัฒนา Chula Smart Campus นั้น ประกอบด้วยวิสัยทัศน์ “SMART 5” คือ (1) SMART ENERGY (2) SMART ENVIRONMENT (3) SMART MOBILITY (4) SMART SECURITY และ (5) SMART COMMUNITY
ความร่วมมือครั้งนี้จะเน้นที่การพัฒนาเสาหลักทางด้าน SMART ENERGY ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบการบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะที่ประกอบด้วยการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-peer และอาคารอัจฉริยะ พร้อมทั้งจะทำการทดลองการซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ในระบบผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายแบบ P2P เพื่อศึกษาผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าในประเด็นต่างๆ ทั้งการวิเคราะห์กลไกตลาด (Market Mechanisms) การออกแบบสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) สำหรับการซื้อขายไฟฟ้า และการออกแบบอัตราค่าผ่านทาง (Wheeling charge) ที่เหมาะสมกับการซื้อขายไฟฟ้าแบบ P2P โดยคาดหวังว่าผลการศึกษาดังกล่าวจะช่วยให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านการพัฒนาประเทศในมิติทางด้านพลังงานและเพื่อให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นตัวอย่างหนึ่งของต้นแบบเมืองอัจฉริยะทางด้านพลังงานต่อไป
นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมแล้วที่จะนำ Trading Platform ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้น โดยร่วมกับทีมงานของ Blockfint มาใช้ทดสอบซื้อขายพลังงานไฟฟ้าผ่านระบบออนไลน์ ณ สถานที่จริงเป็นครั้งแรก พื้นที่ที่ทดสอบในโครงการนี้จะพัฒนาเป็นอาคารอัจฉริยะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีความเหมาะสมและความพร้อมสูง สำหรับระบบการซื้อขายพลังงานไฟฟ้านี้ ใช้ชื่อว่า Gideon (กิเดียน) เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานที่ลูกค้าสามารถซื้อพลังงานจากผู้ผลิตได้โดยตรง มี AI ช่วยในการทำนายและเทรดได้แบบอัตโนมัติ และใช้เทคโนโลยี Block Chain เข้ามาจัดการ จึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูง ซึ่งในระยะถัดไปบริษัทมีแผนจะทำการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) สถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และ มิเตอร์ไฟฟ้า เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ให้เป็นต้นแบบของมหาวิทยาลัยอัจฉริยะด้านพลังงาน
การลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้าของประเทศให้รองรับกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเติบโตของการผลิตพลังงานทดแทนในประเทศ
ที่ผ่านทั้ง 3 หน่วยงาน ได้มีการประสานความร่วมมือในการขับเคลื่อนมหานครอัจฉริยะมาอย่างต่อเนื่อง โดย MEA ได้ร่วมกับ EA ในการขยายสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 100 สถานี ทั่วเขตจำหน่ายของ MEA ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพในประเทศไทย ในขณะที่ MEA ได้มีการลงนามความร่วมมือกับ CU ในการพัฒนาระบบจ่ายไฟฟ้าและนวัตกรรม รองรับโครงการเมืองจุฬาฯ อัจฉริยะ (CHULA Smart City) โดยบูรณาการร่วมกัน เพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบไฟฟ้าเทคโนโลยีนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องมาใช้ในพื้นที่การศึกษาและพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวม 1,153 ไร่ ล้อมรอบด้วยถนนพระราม 4-ถนนพระราม 1-ถนนบรรทัดทอง-ถนนอังรีดูนังต์ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจของทั้ง 3 หน่วยงาน ในการเดินหน้าสร้างมหานครอัจฉริยะ โดยนำร่องที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใจกลางกรุงเทพฯ และพร้อมขยายต่อไปในพื้นที่อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน