BNK48 เปลี่ยนชื่อเป็น iAm หวังขยายธุรกิจได้มากกว่าเดิม ล่าสุดอัด 100 ล้านบาท ผุดอีก 2บิซิเนสยูนิต จับมือติ๊ก-เจษฎาภรณ์ สร้างไอดอลชาย ในนาม 'The Brother' ตามรอยBNK48 และจับตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์ตัวจริง คาดใน2ปี รายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัว
นายจิรัฐ บวรวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Independent Artist Management จำกัด (iAm) เปิดเผยว่า BNK48 ถือเป็นแพลตฟอร์ม ซึ่งในช่วง2ปีที่ผ่านมา หากมองในแง่คอนเทนต์เพลง กระแสBNK48 ลดลง แต่หากมองเป็นบิซิเนสโมเดลยังไปได้ดีอยู่ จากฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น และทำรายได้ให้BNK48กว่า 50% ดังนั้นเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทจึงมองหาธุรกิจใหม่เข้ามาเสริม จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนชื่อจาก บริษัท BNK48 Office จำกัด มาเป็น iAm
สำหรับ iAm ยังคงโฟกัสการดำเนินธุรกิจในรูปแบบของ Artist Management เบื้องต้นแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่ม Girl Idol ซึ่งมี BNK48 ที่ยังคงสร้างผลงานใหม่ๆออกมา และมีรุ่นต่อไป และล่าสุดกับการเปิดตัว CGM 48 ไปไม่นานมานี้ 2.กลุ่มBoy Idol ผ่านการร่วมทุนในชื่อ บริษัท Dream Society management จำกัด (DMS) ด้วยทุนจดทะเบียน 10ล้านบาท ซึ่งiAm ถือหุ้น 60% และติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ถือหุ้น 40% โดยDMS จะใช้บิซิเนส โมเดล ของ BNK 48 มาปรับใช้ ภายใต้ชื่อ " The Brothers" School of gentlemen ที่จะเปิดตัวในเดือนพ.ย นี้ ได้ดารานักแสดงและนักร้อง 4คน มาร่วมพัฒนาไอดอลชาย คือ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี, มาริโอ้ เมาเร่อ, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม และนิชคุณ หรเวชกุล โดยจะเห็นสมาชิก The Brothers รวม 20คน ได้ในช่วงต้นปี2563
และ3.ธุรกิจ Talent management บริหาร ศิลปิน นักร้องนักแสดง และอินฟลูเอ็นเซอร์ เพิ่มความหลากหลายของคอนเทนต์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจาหาศิลปินที่มีความโดดเด่นน่าสนใจ ซึ่งมีหลายโมเดลที่จะใช้ ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับพาร์ทเนอร์ เป็นต้น โดยจะเริ่มเห็นความชัดเจนในช่วงต้นปี2563
"โอกาสทางออนไลน์ คือโอกาสของ iAm เพราะBNK48 เกิดได้จากโลกออนไลน์ และยิ่งหลังจากนี้ออนไลน์และโซเชียลมีเดียจะเติบโตขึ้นอีกมาก จึงยิ่งเป็นโอกาสของ iAm จึงเป็นสาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารอาร์ทติสท์ได้หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอินฟลูเอ็นเซอร์ ที่จะมีอิทธิพลมากขึ้น โดยเฉพาะอินฟลูเอ็นเซอร์ตัวจริง มีคาแรกเตอร์ชีดเจน และมีอิมแพค เช่นเดียวกับ BNK48 ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของอินฟลูเอ็นเซอร์เช่นกัน"
นายจิรัฐ กล่าวต่อว่า สำหรับ 2กลุ่มธุรกิจใหม่ บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้กว่า 100 ล้านบาท ซึ่งมองว่าอาจจะไม่เพียงพอ ในการบริหารและสร้างคอนเทนต์ต่างๆ โดยเฉพาะ The Brothers ที่เบื้องต้นจะมีรายได้จากสปอนเซอร์ชิฟในปีแรก จากนั้นเป็นเรื่องของเมอร์ชั่นไดซ์ ซีดี และคอนเทนต์ตามรอย BNK48 ส่วนBNK48 ช่วงพีคสุดได้งานพรีเซนเตอร์ 10แบรนด์ ปัจจุบันเหลือ 6-7แบรนด์ หรือในสิ้นปีนี้มั่นใจว่า รายได้จะทำได้เท่าปีก่อนที่ 670-680 ล้านบาท และภายใน2ปีจากนี้ คาดว่า บริษัทจะมีรายได้เติบโตขึ้น2เท่า หรืออย่างน้อย 1,000 ล้านบาท มาจากกลุ่มBNK48 50% และ The Brothers กับอินฟลูเอ็นเซอร์ 50% ส่วนอนาคตเชื่อว่าอินฟลูเอ็นเซอร์มีโอกาสทำรายได้มากสุดต่อไป.