ไทยออยล์แจงผลประกอบการไตรมาส 3/2562 ขาดทุนสุทธิ 682 ล้านบาท คาดแนวโน้มน้ำมันดิบไตรมาส 4 นี้อ่อนตัวลงจากไตรมาส 3/2562 หลังซาอุดีอาระเบียกลับมาดำเนินการผลิตได้อีกครั้ง
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(TOP) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/2562 ว่า บริษัทขาดทุนสุทธิ 682.61 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,558.35 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 4,292.61 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14,960.99 ล้านบาท แนวโน้มตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 4 นี้อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับ Q3/62 เนื่องจากซาอุดีอาระเบียสามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้อีกครั้ง หลังถูกโจมตีโรงงานแปรรูปน้ำมัน
นอกจากนี้ กำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์กำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ Q4/62 อยู่ที่ระดับ 12.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก Q3/62 ที่ระดับ 12.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับการเปิดดำเนินการของท่อขนส่งน้ำมันในสหรัฐฯ จากแหล่ง Permian ซี่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ที่สำคัญของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม อุปสงค์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงฤดูหนาว ประกอบกับกลุ่มโอเปกคาดปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่องเพื่อรักษาสมดุลของอุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลก ในปี 2563 คาดว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากปริมาณน้ำมันจากสหรัฐฯ และประเทศนอกกลุ่มโอเปกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระดับ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันโลกที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้กลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรต้องควบคุมการผลิตน้ำมันดิบเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมัน
บริษัทมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคต 5 ปี (2562-66) จำนวนรวม 4,914 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) จำนวน 4,015 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2566
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(TOP) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/2562 ว่า บริษัทขาดทุนสุทธิ 682.61 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,558.35 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 4,292.61 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14,960.99 ล้านบาท แนวโน้มตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 4 นี้อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับ Q3/62 เนื่องจากซาอุดีอาระเบียสามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้อีกครั้ง หลังถูกโจมตีโรงงานแปรรูปน้ำมัน
นอกจากนี้ กำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์กำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ Q4/62 อยู่ที่ระดับ 12.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก Q3/62 ที่ระดับ 12.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับการเปิดดำเนินการของท่อขนส่งน้ำมันในสหรัฐฯ จากแหล่ง Permian ซี่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ที่สำคัญของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม อุปสงค์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงฤดูหนาว ประกอบกับกลุ่มโอเปกคาดปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่องเพื่อรักษาสมดุลของอุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลก ในปี 2563 คาดว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากปริมาณน้ำมันจากสหรัฐฯ และประเทศนอกกลุ่มโอเปกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระดับ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันโลกที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้กลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรต้องควบคุมการผลิตน้ำมันดิบเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมัน
บริษัทมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคต 5 ปี (2562-66) จำนวนรวม 4,914 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) จำนวน 4,015 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2566
