กลุ่มเซ็นทรัลเดินหน้าสานต่อ แผนยุทธศาสตร์สยายปีกการลงทุนในต่างประเทศ กับ 3 โปรเจกต์ยักษ์ใน 3 ทำเลยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เวียนนา-โอซากา-ตูริน ด้วยงบลงทุนรวมสูงถึง 20,000 ล้านบาท
นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า “กลุ่มเซ็นทรัลได้สานต่อยุทธศาสตร์ขยายการลงทุนในต่างประเทศ ตามเทรนด์การท่องเที่ยวโลก (Global Tourism Trend) ด้วยการพัฒนาโครงการแฟลกชิพที่มีศักยภาพสูงในเมืองท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ล่าสุดได้ลงทุนโครงการครั้งยิ่งใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ โครงการมิกซ์ยูสที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย, โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซากา ประเทศญี่ปุ่น และห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต เมืองตูริน โฉมใหม่ ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยทุกแห่งที่กลุ่มเซ็นทรัลเข้าไปลงทุนล้วนเกิดจากความมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมพัฒนาท้องถิ่นและสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของลูกค้าและนักท่องเที่ยวทั่วโลก”
1. มิกซ์ยูสโปรเจกต์สุดหรูกลางกรุงเวียนนา
โครงการขนาด 58,000 ตร.ม. ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าและโรงแรมสุดหรูขนาด 150-165 ห้องพัก ร้านค้า พร้อมด้วยร้านอาหารชั้นนำและสวนสาธารณะลอยฟ้า สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ที่จะเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเวียนนา โดยมุ่งเน้นให้เป็นจุดหมายใหม่แห่งการพบปะสังสรรค์ ด้วยรูปแบบที่ทันสมัยและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์ของเมือง
เพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ดังกล่าว จึงได้ร่วมกับเทศบาลนครเวียนนา จัดการประกวดการออกแบบระดับนานาชาติ ขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2562 โดยมี 4 บริษัทสถาปนิกชื่อดังระดับโลกร่วมส่งผลงานเข้าประกวด ได้แก่ O.M.A (Office of Metropolitan Architecture) จากเมืองร็อตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์, BIG (Bjarke Ingels Group) จากเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก, Snøhetta จากประเทศนอร์เวย์ และ Hadi Teherani สถาปนิกสัญชาติอิหร่าน-เยอรมันจากประเทศเยอรมนี
โดยผลงานการออกแบบที่ชนะการประกวดเป็นของบริษัท O.M.A จากแรงบันดาลใจ ภายใต้แนวคิด “เดอะ ลิ้งค์” (The Link) ชูจุดเด่นของตัวอาคารใหม่ที่เชื่อมโยงกับตัวเมืองได้อย่างลงตัว ผ่านการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลาง และพื้นที่เพื่อการพาณิชย์ ให้ดูมีชีวิตชีวา แต่ยังคงความเป็นส่วนตัวในเวลาเดียวกัน
โครงการนี้ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงใจกลางถนนมาเรียฮิลเฟอร์ สตราเซ (MariahilferStraße) แหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและยังอยู่ในละแวกใกล้เคียงย่านพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของกรุงเวียนนา โดยเป็นการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล และกลุ่มซิกน่า (SIGNA Group) บริษัทชั้นนำในประเทศออสเตรีย โดยมีแผนที่จะเปิดให้บริการภายในปี 2566
2. โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซากา
โรงแรมภายใต้แบรนด์เซ็นทาราแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น ใจกลางย่านนัมบะ ศูนย์กลางการท่องเที่ยวของเมืองโอซากาและภูมิภาคคันไซ โดยโอซากาถือเป็นจุดหมายปลายทางอันดับที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมมามากที่สุด ด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่มีความโดดเด่น และทำเลของเมืองที่ใกล้กับเมืองเกียวโต โกเบ และนารา สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มเซ็นทรัลในการดำเนินกลยุทธ์เพื่อขยายธุรกิจสู่เมืองท่องเที่ยวชั้นนำของโลก
โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซากา เป็นโรงแรมแฟลกชิพระดับ 5 ดาว ใจกลางเมือง เทียบเท่ากับโรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นโรงแรมหรู 34 ชั้น ขนาด 515 ห้องพัก สามารถมองเห็นทัศนียภาพ อันสวยงามของสวนสาธารณะนัมบะได้เต็มวิสัยทัศน์ 360 องศา ชั้นบนสุดของโรงแรมจะมีทั้งเลานจ์ และพื้นที่สำหรับจัดงานอีเวนท์และประชุมสัมมนา รวมถึงร้านอาหารชั้นดาดฟ้า และสกาย บาร์ พร้อมทัศนียภาพ อันงดงามของเมืองโอซากาในแบบพาโนรามา
ในส่วนของการออกแบบ เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างแรงบันดาลใจสไตล์ญี่ปุ่น และความมีชีวิตชีวาและสีสันของวัฒนธรรมไทย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสปาเซ็นวารี ที่ได้รับการการันตีด้วยรางวัลต่างๆ มากมาย ฟิตเนส เซ็นเตอร์ ห้องอาหารหลากหลายรูปแบบและห้องจัดเลี้ยงสำหรับการจัดงาน อีเวนต์และสัมมนาประเภทต่างๆ รวมถึงล็อบบี้ขนาดโอ่โถงเพื่อมอบการต้อนรับและบริการแก่แขกผู้เข้าพักจากทั่วทุกมุมโลกอย่างอบอุ่น
นอกจากนี้ โรงแรมยังตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยวยอดนิยมของโอซากา เพียงไม่กี่ก้าวจากสถานที่ยอดฮิตอย่างนัมบะ พาร์ค สวนสาธารณะลอยฟ้าที่มีทั้งหน้าผา บ่อน้ำ ลำธาร และน้ำตก และยังไม่ไกลจากย่านนัมบะ หรือที่เรียกว่า มินามิ ซึ่งเต็มไปด้วยร้านอาหาร และบาร์มากมาย รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ ย่านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และศาลเจ้าชินโต หนึ่งในศาลเจ้าเก่าแก่ที่เป็นที่เคารพบูชามากที่สุดของชาวโอซากา
โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซากา เป็นการร่วมทุนระหว่างโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา กับสองบริษัทก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น Taisei Corporation และ Kanden Realty & Development เมื่อแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2566 เซ็นทารา แกรนด์ โอซากา จะเป็นโรงแรมแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเมืองโอซากาอย่างแน่นอน
3.ห้างสรรพสินค้ารีนาเซนเต สาขาตูริน
ตูริน ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่กลุ่มเซ็นทรัลภาคภูมิใจ โดยเล็งเห็นศักยภาพของการค้าและการท่องเที่ยวของเมืองตูริน ซึ่งเปรียบเสมือนเพชรเม็ดงามของประเทศอิตาลี ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ สุดคลาสสิก ด้วยงบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท กลุ่มเซ็นทรัลได้เข้าซื้อที่ดินอาคารเมื่อปี พ.ศ.2560 และออกแบบพัฒนาโครงการใหม่ทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มเซ็นทรัลที่ตั้งใจจะยกระดับเมืองตูริน สู่ประสบการณ์ช้อปปิ้งนำสมัย และสร้างความภูมิใจให้กับชาวเมืองตูริน และผู้มาเยือนทุกคน
ห้างสรรพสินค้าถูกปรับปรุงอย่างเต็มรูปแบบ และขยายพื้นที่ขายสุทธิเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว อาคารห้างได้รับการออกแบบโดย Gianmatteo Romegialli นักออกแบบชื่อดังระดับโลก ผู้ตกแต่งเปลือกอาคาร (Façade) ของห้างด้วยหินอ่อน Travertine สุดหรู และสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นให้ชั้น G ด้วยเสาขนาดใหญ่ 4 ต้น และโคมระย้า (Chandelier) สุดอลังการใจกลางห้าง โดยมีทีมดีไซน์เนอร์มืออาชีพที่ร่วมรับผิดชอบในโครงการนี้ด้วย ได้แก่ Paolo Luccetta, Fabio Fantolino, David Lopez และ Fanny Bauer
ความพิเศษของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ คือ โซนเครื่องประดับโฉมใหม่ - รองเท้า กระเป๋า จิวเวลรี่ และแบรนด์ ลักชูรีใหม่ๆ อาทิ Bottega Venetta, Burberry, Alexander McQueen และ Marni นอกจากนี้ยังมี ร้านอาหาร เทมาคินโฮ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วที่สาขาโรม เสิร์ฟอาหารสไตล์ฟิวชันญี่ปุ่น-บราซิล พร้อมที่นั่งโซน เอาต์ดอร์สุดพิเศษ โดยในวันเปิดห้างสรรพสินค้า เคียรา อัปเปนดิโน นายกเทศมนตรีเมืองตูรินให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดห้างอย่างเป็นทางการ ร่วมกับผู้บริหารเซ็นทรัล และรีนาเชนเต พร้อมด้วยเซเลบริตี้ และลูกค้าที่มาร่วมเฉลิมฉลองอย่างคับคั่ง
การแข็งค่าของเงินบาทและอัตราภาษีนำเข้าสูง
ยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจในต่างประเทศของกลุ่มเซ็นทรัล ยังได้แรงหนุนจากค่าเงินบาทแข็งซึ่งช่วยให้การพัฒนาธุรกิจในต่างประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยรายได้ของธุรกิจในต่างประเทศของกลุ่มเซ็นทรัล ในปี 2561 ประกอบด้วย เวียดนาม ยุโรป และมัลดีฟส์ คิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่มเซ็นทรัล และจะเติบโตขึ้นต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้าจากการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ที่ได้ เปิดตัวไป
ถึงแม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจยุโรปจะชะลอตัว แต่ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลในยุโรป ได้แก่ อิตาลี เดนมาร์ก และเยอรมนี ยังคงเห็นแววการเติบโตที่สดใส โดยมาจากยอดขายจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น 12-20% จากปีที่แล้ว รวมถึงยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยที่ไปช้อปปิ้งตามห้างของกลุ่มเซ็นทรัลในยุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกแห่ง โดยเฉพาะห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ ที่นครมิวนิก และห้างรีนาเชนเต ประเทศอิตาลี ที่ยอดขายจากนักท่องเที่ยวไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562 เติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 30% และ 50% ตามลำดับ ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลต้องขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยทุกคนที่สนับสนุนและช้อปปิ้งที่ห้างยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล
การเติบโตของธุรกิจสะท้อนให้เห็นถึง ไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของลูกค้าไทยยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป คนไทยนิยมไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยแรงจูงใจมาจากราคาสินค้าที่ต่ำกว่าเนื่องจากไม่มีภาษีนำเข้าและเมื่อค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นทำให้สินค้าและบริการมีราคาถูกลง
“ประเทศไทยยังมีโอกาสสูงที่จะส่งเสริมและกระตุ้นธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศหากค่าเงินบาทอ่อนตัวลง และภาษีนำเข้าอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ปัจจุบันภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ของประเทศไทยมีอัตราสูงที่สุดในเอเชีย ทำให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากเงินบาทอ่อนค่าลง และมีการลดอัตราภาษีนำเข้า จะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวไทยให้เกิดการเติบโต คนไทยก็ไม่ต้องไปชอปต่างประเทศ เพิ่มการจ้างงานทั้งในภาคค้าปลีก และภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้นตามไปด้วย” ทศ กล่าวปิดท้าย