xs
xsm
sm
md
lg

“สมคิด” มอบบีโอไอปรับทัพดึงลงทุนเน้นโชว์ศักยภาพไทยเชื่อมโยงภูมิภาค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“สมคิด” มอบนโยบายบีโอไอปรับทัพทำงานเชิงรุกดึงดูดการลงทุนต่างประเทศเข้าไทย ชูศักยภาพไทยเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนทุกเส้นทางเปิดประตูสู่ภูมิภาคอาเซียน เชื่อม One Belt One Road จีน ACMECS RCEP ฯลฯ โฟกัสนักลงทุนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง เกลี่ยคนเสริมทีมประเทศเป้าหมาย มุ่งดึงลงทุนสอดรับ ศก.หมุนเวียน เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และมุ่งธุรกิจบริการมากขึ้น

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมและมอบนโยบายการทำงานให้แก่หัวหน้าสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนในต่างประเทศของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) 14 แห่ง ว่าได้มอบนโยบายให้บีโอไอปรับการทำงานในเชิงรุกในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมายังไทยที่ให้ชูไทยให้เป็นฐานการค้าและการลงทุนที่จะเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนทั้งการเชื่อมเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 หรือ One Belt One Road กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มอี (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) กลุ่มยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง หรือแอ็กเม็กส์ (ACMECS) ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค หรืออาร์เซป (RCEP) และความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก หรือทีพีพี (TPP) เป็นต้น โดยมีเป้าหมายนักลงทุนสำคัญคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และฮ่องกง

“นี่คือหัวใจที่เราจะต้องทำให้นักลงทุนรับทราบให้ได้ เพราะรายใหญ่เขาเห็นแล้ว แต่ทั่วๆ ไปยังไม่รู้ เราต้องฉายภาพนี้ก่อนที่ไทยจะเชื่อมโยงทั้งเซาเทิร์นอีโคโนมิกคอร์ริดอร์ อีสต์เวสต์ คอริดอร์ เราจะเชื่อมทั้งหมด จากนั้นจึงว่าด้วยการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) หรือสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอื่นๆ ตามมา” นายสมคิดกล่าว

นอกจากนี้ การส่งเสริมฯการลงทุนจะต้องมองเป้าหมายตอบโจทย์ที่ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1. การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน 2. ลดความเหลื่อมล้ำ และ 3. การสร้างความยั่งยืนหรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งที่ผ่านมาในเรื่องของการเพิ่มขีดแข่งขันนั้นมีมากต่อไปต้องมองในเรื่องของเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นพิเศษ โดยอุตสาหกรรมเดิมไม่ได้ละทิ้งแต่จะพัฒนาให้ดีขึ้นควบคู่ไปกับส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่

นายสมคิดกล่าวว่า ได้มอบให้บีโอไอพิจารณาขยายการส่งเสริมฯลงทุนจากการผลิตไปสู่ด้านการบริการ (Services) ให้มากขึ้น งบบุคลากร การประชาสัมพันธ์ก็จะต้องมองในจุดนี้ พร้อมกันนี้จะต้องปรับตัวในการจัดทัพให้เหมาะสมกับกำลังคนที่มีอยู่ 300 คน ถือว่ามีน้อยมากเมื่อเทียบกับการดึงการลงทุนปีละ 6-7 แสนล้านบาท จึงถือว่ามีศักยภาพ ดังนั้นที่มีอยู่ก็ควรจะเกลี่ยกำลังคนให้มาอยู่ในประเทศเป้าหมายมากขึ้น ขณะเดียวกัน บีโอไอต้องรู้จักใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) เป็นนโยบายหลัก จากที่ผ่านมาไม่มีการดึงข้อมูลการลงทุนมาใช้ให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร

สำหรับการดึงดูดก็ยังคงมุ่งเน้นที่จะตอบโจทย์ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) โดยปลายเดือน ส.ค.นี้ นักลงทุนจากจีนจะเดินทางมาศึกษาแนวทางลงทุนในไทย และมีกำหนดการลงพื้นที่ดูงานอีอีซีด้วย นักลงทุนญี่ปุ่นเดินทางมาเดือน ต.ค.ให้ความสนใจลงทุนด้านนวัตกรรมและสตาร์ทอัพ ส่วนฮ่องกงมาเดือน ก.พ. 2562 ซึ่งเป็นโอกาสที่บีโอไอต้องมีแผนดึงดูดนักลงทุนชัดเจนที่สามารถต่อยอดการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงขยายฐานไปสู่ภาคบริการด้วย

น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ปัจจุบันบีโอไอบุคลากรทั้งสิ้น 317 คน เป็นพนักงานข้าราชการกว่า 100 คน ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติการเพิ่มอัตรากำลังคน 78 คนภายใน 3 ปี ประกอบกับการเกลี่ยคนให้สอดคล้องกับพื้นที่เป้าหมาย เชื่อว่าจะเพียงพอต่อการดำเนินภารกิจ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หัวใจสำคัญคือต้องปรับทัพเกลี่ยคนให้เหมาะสม เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาติ อย่างบริษัทญี่ปุ่นที่เริ่มกระจายการลงทุนจากจีนที่มีต้นทุนการผลิตแพง ไปยังประเทศที่มีต้นทุนการผลิตถูกกว่าอย่างไทย เช่นเดียวกับเกาหลี สหรัฐฯ ดังนั้นขณะนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้นักลงทุนออกมาลงทุนสู่ภูมิภาค บีโอไอจึงเหมือนคนจับปลา เกลี่ยคนปรับทัพดึงดูดให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนในไทยได้









กำลังโหลดความคิดเห็น