รถบรรทุกน้ำหนักเกินยังเกลื่อน เผยปี 61 จับได้กว่า 3,348 คัน ส่วนปี 60 จับได้ 4,454 คัน “อาคม” สั่งเพิ่มจุดตรวจเคลื่อนที่และเร่งสร้างด่านถาวร เป็น 103 แห่ง เผย ครม.สั่งหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเลิกแบกน้ำหนักเกิน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 ก.ค. ได้รับทราบผลการกำหนดมาตรการเพื่อให้บังคับใช้กฎหมายในการควบคุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนด ซึ่งในช่วงปี 2561 (1 ต.ค. 60 - 3 มิ.ย. 61) กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ได้ตรวจเข้มรถบรรทุกน้ำหนักเกินจับกุมได้ 3,348 คัน เปรียบเทียบปี 2560 ตรวจจับได้ 4,454 คัน ปี 2559 ตรวจจับได้ 1,240 คัน ซึ่งเป็นมาตรการป้องกับถนนชำรุด โดย ทล.และ ทช.ได้เพิ่มจุดตรวจสอบน้ำหนักเคลื่อนที่สุ่มตรวจ จาก 4 จุดเป็น 10 จุด และเพิ่มความถี่ในการสุ่มตรวจ นอกจากนี้ ได้เร่งก่อสร้างสถานีตรวจสอบน้ำหนักและจุดพักรถ จาก 72 แห่ง เป็น 103 แห่ง ในเส้นทางสายหลัก
ทั้งนี้ ได้กำชับให้เร่งแก้ไขปรับปรุงถนนที่ชำรุดจากรถบรรทุกน้ำหนักเกินทันที โดยเฉพาะช่องทางวิ่งซ้ายที่มักมีการชำรุดบ่อย และบริเวณแยกไฟแดง ที่รถมักเบรกจนทำให้เกิดรอยร่องล้อ
อย่างไรก็ตาม ครม.ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมหาแนวคิด วิธีการใหม่ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจในด้านอื่นๆ ให้ผู้ประกอบการเลิกแบกน้ำหนักเพื่อลดต้นทุน พร้อมกันนี้ให้ร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการดำเนินการให้เป็นรูปธรรม โดยที่ผ่านมากรมทางหลวง กำหนดเป็น 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการป้องปราม โดยเร่งก่อสร้างสถานีตรวจสอบน้ำหนักและจุดพักรถให้ครอบคลุมโครงข่ายทั่วประเทศตามแผนที่วางไว้ 103 แห่ง (ปัจจุบันมีแล้ว 72 แห่ง) และนำเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบจับกุม
มาตรการปราบปราม เข้มงวดกวดขันให้รถบรรทุกที่ผ่านสถานีฯ เข้าตรวจสอบน้ำหนักทุกคัน จัดหน่วยตรวจสอบน้ำหนักเคลื่อนที่สุ่มตรวจในเส้นทางที่มีรถบรรทุกหลบเลี่ยงสถานีฯ และจัดชุดตรวจสอบน้ำหนักเฉพาะกิจส่วนกลางเพิ่มขึ้นเป็น 10 จุด (จากเดิม 4 จุด) เพื่อเพิ่มความถี่ในการสุ่มตรวจทั่วประเทศ
มาตรการประชาสัมพันธ์ รับเรื่องร้องเรียน ให้ผู้ประกอบการขนส่งและประชาชนทราบถึงนโยบายการควบคุมน้ำหนักและผลการจับกุมผู้กระทำผิดผ่านสื่อออนไลน์ เฟซบุ๊ก และเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเรื่องการศึกษาและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความทันสมัยและสามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนกรมทางหลวงชนบทกำหนดมาตรการเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น เช่น จัดตั้งด่านชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่เน้นการทำงานเชิงรุกในสายทางที่มีความเสี่ยงการบรรทุกน้ำหนักเกิน บังคับใช้กฎหมาย เพิ่มความถี่การตั้งด่าน, ระยะกลาง เช่น กำหนดแผนก่อสร้างสถานีตรวจสอบน้ำหนักให้ครอบคลุมพื้นที่สายทางที่มีปริมาณรถบรรทุกสูง, ระยะยาว เช่น ตั้งคณะทำงานพิจารณาแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน (ด้านกฎหมาย) เพื่อพิจารณาข้อกฎหมายให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำข้อกำหนดในการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างและมาตรฐานความปลอดภัยขณะก่อสร้าง ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำข้อกำหนดดังกล่าว นอกจากนี้ ยังหารือกับประเทศเพื่อนบ้านในการควบคุมน้ำหนักรถบรรทุกผ่านแดนให้เป็นไปตามกฎหมาย และหารือกับสมาคมรถบรรทุกให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
เร่งปรับปรุงถนนกีดขวางทางน้ำ 108 แห่งเสร็จในปี 62
นอกจากนี้ ครม.รับทราบรายงานการแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานกระทรวงคมนาคม กีดขวางทางน้ำ ซึ่งส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในปี 2560 ซึ่งพบว่าถนนที่ต้องแก้ไข 108 แห่ง ค่าเสียหาย 994.58 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการแก้ไขแล้ว 32 แห่ง โดยได้ใช้งบเหลือจ่ายปี 60 ดำเนินการจำนวน 253.18 ล้านบาท งบกลางปี 60 จำนวน 157.09 ล้านบาท งบปี 61 จำนวน 16.61 ล้านบาท และปรับแผนงานปี 61 จำนวน 14 ล้านบาท และของบปี 62 จำนวน 553.70 ล้านบาท ดำเนินการส่วนที่เหลือ
ทั้งนี้ ถนนที่กีดขวางทั้ง 108 แห่ง แบ่งเป็นของกรมทางหลวง (ทล.) 100 แห่ง (ภาคใต้ 42 แห่ง อื่นๆ 58 แห่ง) ความเสียหาย 921.46 ล้านบาท ขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จ 24 แห่ง เป็นถนนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ในพื้นที่ภาคใต้ 8 แห่ง ค่าเสียหาย 73.12 ล้านบาท ดำเนินการเสร็จแล้วทั้งหมด ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกรมชลประทานในการชี้จุดที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขก่อนเพื่อจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกับงบประมาณ