“สมชาย” รมช.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) จังหวัดฉะเชิงเทรา คาดเฟส 1 สนามทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 พร้อมเริ่มทดสอบได้ในปลายปีนี้ตามแผนพร้อมรองรับการลงทุนในอีอีซี ก้าวสู่การเป็นศูนย์ทดสอบแห่งแรกของอาเซียนที่ได้มาตรฐานระดับสากล
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเดินทางไปติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ว่าศูนย์ทดสอบดังกล่าวคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ดำเนินโครงการจัดตั้งภายในกรอบวงเงิน 3,705.7 ล้านบาท บนพื้นที่ 1,235 ไร่ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อให้บริการทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 (UN Regulation No. 117) และยางล้อ ทุกประเภทซึ่งนับเป็นศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งแรกของอาเซียนที่รัฐบาลไทยผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
“โครงการนี้จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน โดยต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่การเป็น “Super Cluster” อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และ “อุตสาหกรรม 4.0” ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และกระตุ้นการลงทุนในอีอีซี” นายสมชายกล่าว
นายอภิจิณ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน เลขาธิการ สมอ.กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561 ได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์อาคาร ศูนย์ทดสอบฯ ไปแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างสนามทดสอบและอาคารของศูนย์ทดสอบฯ ซึ่งโครงการมี แผนการดำเนินงานแบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ส่วนทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 จะแล้วเสร็จสมบูรณ์และเริ่มทดสอบได้ในปี 2561 พร้อมห้องปฏิบัติการทดสอบจะแล้วเสร็จในปี 2561 เช่นกัน สำหรับอาคารสำนักงานและระบบสาธารณูปโภคจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2562
ระยะที่ 2 ส่วนทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วน ประกอบด้วยสนามทดสอบกลางแจ้ง 5 สนาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบและการปรับพื้นที่เพื่อรองรับการก่อสร้างสนามทดสอบ จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2564 ทั้งนี้ หากโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติแล้วเสร็จสมบูรณ์ จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการจะประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากไม่ต้องส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบและรับรองที่ต่างประเทศ ทั้งโครงการพร้อมเปิดให้บริการครบวงจรได้ในปี 2564