xs
xsm
sm
md
lg

สินค้าไทยเน้นเจาะจีนบ่อทองใหญ่ กระตุ้นซื้อตั้งแต่ถึงแอร์พอร์ตประชิดตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ-สายงานการวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ หรือ เอ็มไอ
ผู้จัดการรรายวัน 360 - สินค้าแบรนด์ไทยเบนเข็มหันเจาะตลาดคนจีนเป็นหลัก ทำการตลาดตั้งแต่หน้าด่าน ปักธงลงโฆษณาตั้งแต่สนามบิน โฆษณา ณ จุดขาย แบบถึงลูกค้าคนจีน เผย 4 กลุ่มสินค้ายอดฮิตที่คนจีนซื้อ

นายภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ-สายงานการวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ หรือเอ็มไอ กล่าวว่า จากการที่ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยค่อนข้างฝืดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เป็นที่สังเกตว่าสินค้าแบรนด์ไทยหลายแบรนด์ได้หันมาให้ความสำคัญต่อกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะ ตลาดคนจีน ในลักษณะของการใช้สื่อโฆษณาของจีน สร้างการรับรู้ตาม
ด้วยป้ายโฆษณาตามสนามบินในไทยเพื่อตอกย้ำสินค้าคนไทย รวมถึงโฆษณา ณ จุดขาย เช่น มิสทีน, สเนลไวท์ และ ELE เป็นต้น เพื่อตอกย้ำแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายคนจีนแบบถึงตัว ส่งผลดีต่อมูลค่าตลาดรวมการใช้เงินโฆษณาสินค้าผ่านสื่อสนามบินและบริเวณใกล้เคียงเพิ่มถึง 10% ในช่วงที่ผ่านมา

กลุ่มสินค้าและบริการที่กำลังเป็นที่นิยมและทำตลาดกับคนจีนอย่างมากในเวลานี้ คือ 1. สินค้าของกินที่เป็นออร์แกนิก เช่น ผลไม้สด รวมทั้งผลไม้อบแห้ง สาหร่าย เป็นต้น
2. สินค้าเพอร์ซันนัลแคร์ ทั้งใบหน้า ผม ลำตัว 3. สินค้าของที่ระลึก เช่น พวงกุญแจ นิ้วจระเข้ เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ขายดีมาก และ 4. คอนเทนต์ซีรีส์ไทยกลุ่มทีน & Y ยังนิยมดูซีรีส์ไทยซึ่งโด่งดังมากในจีน คือ ซีรีส์วัยรุ่นประเภทชายรักชาย หญิงรักหญิง ที่ได้กระแสตอบรับดีมาก

“ที่ผ่านมาสินค้าต่างๆ หลายแบรนด์ได้เริ่มปรับกลยุทธ์เพราะคงไม่สามารถพึ่งพาตลาดคนไทยเท่านั้น จึงหันมาเน้นตลาดกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนจีนซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่มาก โดยเห็นได้จากมีการปรับคอนเทนต์มาใช้ภาษาจีนช่วยสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้โดยตรงทั้งรูปแบบไวรัลคลิปและป้ายโฆษณา ตั้งแต่ช่วงเวลาที่คนจีนเดินทางออกจากเครื่องบินไปจนถึงป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ข้างสนามบิน บนทางด่วน ต่างๆ” นายภวัตกล่าว

ตลาดคนจีนจะเป็นตลาดใหญ่อันดับแรกที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากปีละประมาณ 9 ล้านคน มียอดใช้จ่ายประมาณ 25,000-50,000 บาทต่อคนต่อครั้ง มีระยะเวลาพักในไทยเฉลี่ย 5-7 วัน โดยแยกเป็นสัดส่วนของการใช้จ่าย แบ่งเป็นค่าที่พัก 27%, ค่าชอปปิ้ง 27%, ค่าอาหาร 18%, กิจกรรมผ่อนคลาย 11% และอื่นๆ เช่น การเดินทาง แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ และที่สำคัญคนจีนชื่นชอบสินค้าไทย เช่น ยาดม ยาหม่อง สาหร่าย ที่มักจะเหมาซื้อกลับไปเป็นลังเพื่อเป็นของฝากและขายต่อ ทำให้มีโอกาสในการสร้างยอดขายจากกลุ่มดังกล่าว

กรณีของแบรนด์ สเนลไวท์ คาร์มาร์ท มิสทีน และอีแอลอี ที่ใช้สื่อโฆษณารูปแบบดังกล่าวไปแล้ว และยังได้ทำการขยายไปใช้สื่อป้ายบิลบอร์ดตามแหล่งที่คนจีนเข้าไปพักอาศัย เช่น ย่านห้วยขวาง, ลาดพร้าว 101, นิมมานฯ เชียงใหม่ เป็นต้น รวมทั้งใช้สื่อระบบขนส่งในตัวเมืองทั้งรถไฟฟ้าใต้ดินและรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งเป็นระบบขนส่งสำคัญที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้เดินทาง โดยสังเกตได้จากข้อมูลที่มีอยู่ พบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสมีประมาณ 42,000 คน และรถไฟฟ้าใต้ดินประมาณ 12,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 70% ของผู้โดยสารต่างชาติทั้งหมด

อีกทั้งยังใช้กลยุทธ์ นำศิลปินหรือดาราไทยที่โด่งดังและเป็นขวัญใจของคนจีนเข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อช่วยดึงดูดการตัดสินใจของลูกค้าคนจีนและช่วยสร้างแบรนด์ด้วย เช่น แบรนด์สเนลไวท์ ใช้นางเอกตัวดังคือ “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ”, “ปู-ไปรยา, พลอย-เฌอมาลย์, ออม-สุชาร์ และ ฐิสา-วริฎฐิชา ส่วนแบรนด์มิสทีน ใช้ “อั้ม-พัชราภา, ปู-ไปรยา, แพนเค้ก-เขมนิจ, พลอย-เฌอมาลย์, มิ้นต์-ชาลิตา และ มิน-พิชญา หรือแม้แต่สินค้าแบรนด์แคทตี้ ดอร์ จากเกาหลีใต้ ก็ยังหันมาเน้นทำตลาดโดยใช้พรีเซ็นเตอร์ดารานำชาย เช่นกัน เช่น “บอย-ปกรณ์”, มาริโอ้-เมาเร่อ และพุฒ-พุฒิชัย เพื่อเน้นเจาะลูกค้าคนจีนที่เดินทางมาเที่ยวในไทยโดยเฉพาะด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น