ผู้จัดการรายวัน 360 - “เอสเอฟ” เดินหน้ารุกหนัก หลังอัดงบ 100 ล้านบาทปีที่แล้วปูพรมออนไลน์เต็มที่ ปีนี้ทุ่มอีก 600 ล้านบาท ซุ่มโมเดลใหม่ ซิกม่าซีเนสเตเดี้ยม พร้อมเป้าปีนี้เปิดใหม่ 6 สาขา
นายสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแผนลงทุนปี 2561 ไว้ที่ 600 ล้านบาท ทั้งการเปิดสาขาใหม่และการรีโนเวตสาขาใหญ่เอสเอฟเวิลด์ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และการตลาดทั้งหมด หลังจากที่ปีที่แล้วได้ลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาระบบออนไลน์ และระบบหลังบ้านต่างๆ เพื่อรองรับการจองและซื้อตั๋วหนังในช่องทางที่ไม่ใช่บอกซ์ออฟฟิศ
โดยปีนี้จะมีการพัฒนาโรงภาพยนตร์ในโมเดลใหม่ที่เรียกว่า ซิกม่า ซีเนสเตเดี้ยม โรงภาพยนตร์แห่งอนาคต ด้วยจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่สุด รองรับการฉายด้วยระบบดิจิทัล 4 เค เลเซอร์ ให้ภาพคมชัด ระบบเสียงดอลบีแอทโมส รอบทิศทาง ที่นั่งกว้างขวางแบบซูเปอร์สเตเดี้ยม ทิ้งช่วงห่างแต่ละที่นั่งมากขึ้น นอกเหนือจากโรงหนังโมเดลเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น เฟิสต์คลาสซีเนม่า และแฮปปีเนสสกรีน เอ็มเอ็กซ์ 4 ดี และอื่นๆ เป็นต้น วางแผนจะเปิดโมเดลใหม่นี้สาขาละ 1 โรงที่มีความเหมาะสม เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลพระรามเก้า เชียงใหม่ เป็นต้น เริ่มที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ก่อน ที่จะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่แลจะมีโมเดลใหม่นี้ด้วย คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ ส่วนราคาบัตรยังไม่สรุป
ส่วนสาขาใหม่ที่จะเปิดปีนี้มีประมาณ 6 สาขา ใกล้เคียงกับทุกปี โดยครึ่งปีแรกเปิดแล้วที่สาขาท็อปส์พลาซ่าพะเยา ส่วนครึ่งปีหลังจะเปิดที่โรบินสันไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ชลบุรี, บิ๊กซี สระแก้ว, บิ๊กซีสมุทรสงคราม, บิ๊กซี เพชรเกษม และเทอร์มินัล 21 พัทยา ซึ่งพัทยาเป็นตลาดที่เติบโตดีและมีกำลังซื้ออย่างมาก เดิมเอสเอฟมีแล้ว 2 สาขาที่พัทยา
ขณะที่ช่องทางการจำหน่ายบัตรที่นอกเหนือจากบอกซ์ออฟฟิศแล้ว ปัจจุบันได้มีการเพิ่มช่องทางออนไลน์ซึ่งพัฒนาระบบแบนด์วิดท์ ปรับปรุงแอปพลิเคชัน เอสเอฟซีนีม่า และเว็บไซต์ เพื่อบริการออนไลน์ทิกเก็ตติ้ง และเพิ่มพันธมิตรเพิ่มช่องทางการจำหน่ายบัตร เช่น เคแบงก์ เอสซีบี แอร์เพย์ และบลูเพย์ เป็นต้น และการเพิ่มบริการหน้าโรงหนังผ่านตู้คีออสก์ของแบงก์ออมสิน ออกจากหน้าเคาน์เตอร์ขายบัตรปกติ ซึ่งสัดส่วนการซื้อบัตรจากช่องทางที่เป็นออนไลน์ของลูกค้าเอสเอฟปี 2559 อยู่ที่ 7% ปี 2560 อยู่ที่ 15% และปีนี้ตั้งเป้าสัดส่วนอยู่ที่ 30% ส่วนปีหน้าคาดว่าสัดส่วนซื้อบัตรผ่านออนไลน์จะอยู่ที่ 50% จากจำนวนยอดขายบัตรเฉลี่ย 20 ล้านใบต่อปี
ปัจจุบันเราต้องสร้างความหลากหลายและความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องการซื้อบัตรด้วย โดยเฉพาะการเข้าสู่โลกดิจิทัลที่ต้องตามให้ทัน อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายหลักของเอสเอฟคือคนกลุ่มอายุ 18-25 ปี เป็นหลัก สัดส่วนมากกว่า 60% ที่คนกลุ่มนี้จะมีไลฟ์สไตล์ดิจิทัลอยู่แล้ว
นายสุวัฒน์กล่าวด้วยว่า “ปัจจัยหลักที่จะทำให้ปีนี้บริษัทฯ เติบโตดี คือ 1. การปรับระบบออนไลน์ต่างๆ รองรับความต้องการของตลาด 2. การขยายสาขาใหม่ๆเพิ่มขึ้น 3. เรื่องของภาพยนตร์ปีนี้ที่เป็นฟอร์มใหญ่และทำรายได้รวมดี เช่น ซูเปอร์ฮีโร่แบล็กแพนเทอร์ รายได้รวมประมาณ 198 ล้านบาท, เรื่องอะเวนเจอร์ อินฟินิตี้วอร์ รายได้ทุบสถิติที่ 420 ล้านบาท, ช่วงนี้คือเรื่องจูราสสิกเวิลด์ และยังมีหนังฟอร์มใหญ่อีกมาเช่น มิชชันอิมพอสซิเบิ้ล, แฟนตาสติกบีช, อควาแมน, บัมเบิ้ลบี เป็นต้น ที่เป็นหนังฟอร์มใหญ่ทั้งสิ้น
นายสุวัฒน์กล่าวว่า ในปีที่แล้วบริษัทฯ มีรายได้รวมประมาณ 4,200 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ และมีกำไรสุทธิ 180 ล้านบาท เติบโต 14% จากปี 2559 โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากโรงภาพยนตร์ 2,700 ล้านบาท เติบโต 3% รายได้จากการขายเครื่องดื่มและอาหาร 775 ล้านบาท เติบโต 12% รายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณา 430 ล้านบาท เติบโต 28% และอื่นๆ อีก 300 ล้านบาท เติบโต 4% เช่น รายได้จากการให้เช่าพื้นที่ที่มีมากกว่า 20,000 ตารางเมตร โดยจำนวนเวลาที่ฉายโฆษณาและหนังตัวอย่างไม่เกิน 20-25 นาทีต่อเรื่อง
ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้รวมที่ 5,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีสาขารวม 57 สาขา จำนวน 371 โรง รวมกว่า 81,300 ที่นั่ง ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดหวัด 27 จังหวัด (แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 20 สาขา จำนวน 166 โรง และต่างจังหวัด 37 สาขา จำนวน 205 โรง)
“ส่วนเป้าหมายการเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้นขณะนี้อยู่รหว่างการเตรียมการ คาดว่าในปีหน้าจะสามารถเข้าตลาดได้แน่นอน ซึ่งเราต้องสร้างการเติบโตและความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจทั้งก่อนและหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันเอสเอฟมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 36% จากมูลค่าตลาดรวม 5,000 กว่าล้านบาท ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 40% อีก 2-3 ปี” นายสุวัฒน์กล่าว