บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2561 จำนวน 883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% เทียบปีก่อน ด้วยผลการดำเนินงานของทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารที่ดีขึ้น โดยการฟื้นตัวของธุรกิจการจัดประชุมสัมมนา (MICE) และการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลดีต่อผลประกอบการของธุรกิจโรงแรม รวมถึงผลจากการรับรู้รายได้ของโรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ และโรงแรมโคซี่ สมุย เฉวง บีช ที่บริษัทฯ ได้ลงทุน และเปิดดำเนินการในปลายปี 2560
CENTEL มีกำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ (EBITDA) ในไตรมาส 1 ปี 2561 รวม 1,587.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% โดยมี EBITDA จากธุรกิจโรงแรมจำนวน 1,247.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% และ EBITDA จากธุรกิจอาหารจำนวน 340.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.0% เทียบปีก่อน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก EBITDA ในไตรมาส 1/2560 ได้รวมรายได้จากประกันน้ำท่วมโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ภูเก็ตจำนวน 35.9 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายได้ดังกล่าว EBITDA รวมไตรมาส 1 ปี 2561 จะเติบโต 9.1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจโรงแรม ในไตรมาส 1 ปี 2561 มีกำไรสุทธิจำนวน 735.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% ทั้งนี้ หากไม่รวมรายได้จากประกันน้ำท่วมดังกล่าวข้างต้น กำไรสุทธิจากการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมมีการเติบโต 15.6% เทียบปีที่ผ่านมา การเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากการฟื้นตัวของธุรกิจการจัดประชุมสัมมนา (MICE) ของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ และการฟื้นตัวของโรงแรมมัลดีฟส์ซึ่งมีอัตราการทำกำไรที่สูง รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรมเดิมระดับ 4-5 ดาว รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPar) เพิ่มขึ้น 4.4% อยู่ที่ 5,268 บาท เนื่องจากการเพิ่มของทั้งอัตราการเข้าพัก (OCC) จาก 85.0% เป็น 87.4% และราคาห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 6,025 บาท เพิ่มขึ้น 1.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจอาหารในไตรมาส 1 ปี 2561 มีกำไรสุทธิจำนวน 147.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.8% การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิเป็นผลจากการขยายสาขาถึง 79 สาขาเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยแบรนด์ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นหลัก ได้แก่ เคเอฟซี มิสเตอร์โดนัท เปปเปอร์ลันช์ โอโตยะ อานตี้แอนส์ และคัทสึยะ ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขา (TSS) เพิ่มขึ้น 7.9% ในขณะที่อัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (SSS) มีการชะลอตัวในอัตราที่ลดลงเพียง 0.6% อย่างไรก็ดี แบรนด์หลัก 3 แบรนด์ ได้แก่ มิสเตอร์โดนัท โอโตยะ และอานตี้แอนส์ มีอัตราการเติบโตจากสาขาเดิมเป็นบวก
ในปี 2561 CENTEL มีความเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานทั้งธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอาหารจะปรับตัวดีขึ้น จากการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งประเทศไทยและมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรม คงประมาณการการเติบโตของ RevPar ของกลุ่มโรงแรมเดิมที่ 3-4% เทียบปีก่อน และโรงแรมใหม่ 2 แห่งตามที่กล่าวข้างต้น จะช่วยสร้างรายได้ธุรกิจโรงแรมอีก 3-4% เพิ่มเติมจากรายได้ของกลุ่มโรงแรมเดิม
ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ที่คาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ รวมถึงการเร่งใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลัง กอปรกับเริ่มเข้าสู่ช่วงหาเสียงในการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในต้นปี 2562 ปัจจัยดังกล่าวมีส่วนสนับสนุนให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น และมีผลในเชิงบวกต่อธุรกิจอาหาร ดังนั้น บริษัทฯ จึงยังคงประมาณการอัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (SSS) อยู่ในช่วง 2-3% และอัตราการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขา (TSS) อยู่ในช่วง 7-8% สำหรับปี 2561 นี้
ข้อมูลบริษัท ณ ปัจจุบัน
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 CENTEL มีโรงแรมภายใต้การบริหารทั้งสิ้น จำนวน 58 โรงแรม (11,945 ห้อง) โดยเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 38 โรงแรม (7,294 ห้อง) และเป็นโรงแรมที่กำลังพัฒนา 20 โรงแรม (4,651 ห้อง) ในส่วน 38 โรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วนั้น 17 โรงแรม (4,180 ห้อง) เป็นโรงแรมที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ และ 21 โรงแรม (3,114 ห้อง) เป็นโรงแรมที่อยู่ภายใต้สัญญาบริหาร สำหรับธุรกิจอาหาร CENTEL มีจำนวนร้านอาหารที่เปิดดำเนินการรวม 899 สาขา ดังนี้ 1. เคเอฟซี (246) 2.มิสเตอร์โดนัท (337) 3. โอโตยะ (44) 4. อานตี้แอนส์ (148) 5. เปบเปอร์ลันช์ (33) 6. ชาบูตง ราเมน (18) 7. โคลด์สโตน ครีมเมอรี่ (20) 8. โยชิโนยะ (16) 9. เดอะ เทอเรส (9) 10. เทนยะ (7) 11. คัตสึยะ (21)