“นกแอร์” เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2561 ขาดทุนลดลงเหลือ 26.88 ล้าน แม้รายได้จากค่าโดยสารจะเพิ่มขึ้น หลังเปิดบินจีนเพิ่มอีก 11 เมือง ช่วยดันรายได้โต แต่ราคาน้ำมันยังปรับเพิ่มขึ้น และการเริ่มเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ทำให้ต้นทุนด้านเชื้อเพลิงเพิ่ม 23% ยังมุ่งเดินตามแผนฟื้นฟู ปรับรูปแบบการจองบัตรโดยสารและแผนการตลาดใหม่ๆ
นายปิยะ ยอดมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2561 (ม.ค.-มี.ค.) ของสายการบินนกแอร์สามารถลดการขาดทุนรวมลงได้อย่างมากจาก 295.57 ล้านบาท ลดลงเหลือเพียง 26.88 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน รวม 4,316.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.61% โดยรายได้จากค่าโดยสาร และรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 6.79% และ 38.54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากการขยายเส้นทางการบินแบบเช่าเหมาลำไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มมากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายมีจำนวน รวม 4,348.91 ล้านบาท ลดลง 0.75 % โดยบริษัทสามารถลดต้นทุนในการซ่อมบารุงเครื่องบิน และลดค่าใช้จ่ายตามแผนฟื้นฟู ซึ่งต้นทุนการดำเนินงานหลักของบริษัท ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Jet Fuel Price) ที่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ว่ารายได้จากค่าโดยสารและการให้บริการจะเพิ่มขึ้น
โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 79.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อบารเ์รล เพิ่มขึ้นจาก 64.32 ดอลลาร์สหรัฐต่อบารเ์รล เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งการเริ่มจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน ส่งผลให้บริษัทฯ มีต้นทุนเชื้อเพลิงอยู่ที่ 1,300.62 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 23.01% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งบริษัทได้ทำสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันไว้บางส่วน แม้ว่าต้นทุนเชื้อเพลิงจะเพิ่มสูงขึ้นแต่สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 5.6 % จากไตรมาสก่อนหน้า คิดเป็น 4.32 พันล้านบาท เนื่องจากต้นทุนเฉลี่ยต่อที่นั่งลดลง และอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) มีการปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งยังมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
“ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแผนการฟื้นฟูธุรกิจของสายการบินให้ผลลัพธ์อย่างดีเยี่ยม และสายการบินกำลังแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง” นายปิยะกล่าว
การปรับรูปแบบการจองบัตรโดยสารและแผนการตลาดใหม่ๆ ทำให้นกแอร์เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจได้มากขึ้น เนื่องจากเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายกลุ่ม และสามารถควบคุมต้นทุนได้เป็นอย่างดี ซึ่งการเพิ่มประสิทธิดังกล่าวมีส่วนทำให้ผลประกอบการโดยรวมของสายการบินดีขึ้น
“การพัฒนาและดำเนินการตามแผนงานที่ได้วางไว้ในไตรมาสแรกนั้น ทำให้นกแอร์สามารถรับมือกับต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นได้ 23.2 %เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน” นายปิยะกล่าวเสริม และว่าสายการบินสามารถเพิ่มจำนวนผู้โดยสารได้ในไตรมาสแรกนี้ซึ่งทำให้มีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารอยู่ที่ 93.8 % เพิ่มขึ้น 6.1 จุด จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สายการบินมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 3.83% โดยมีจำนวนผู้โดยสารจำนวน 2.52 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 2.43 ล้านคน ผลมาจากผู้โดยสารที่เดินทางในเส้นทางบินจีนที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สายการบินมีการเพิ่มการให้บริการในเส้นทางบินจีนเป็น 19 เมือง จากเดิม 8 เมือง ทำให้จำนวนผู้โดยสารเฉพาะในเส้นทางบินนี้เพิ่มขึ้นจาก 94,302 คน เป็น 235,363 คน หรือเพิ่มขึ้น 149.57% เป็นผลให้รายได้ในเส้นทางบินจีนมีสัดส่วนอยู่ที่ 19.82% ของรายได้โดยรวมของสายการบิน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 7.51%
ในไตรมาสนี้ นกแอร์สามารถเพิ่มอัตราการใช้เครื่องบินต่อลำ (Aircraft Utilization) ได้เป็น 10 ชั่วโมงปฏิบัติการการบินต่อวัน จากเดิมที่ 8.23 ชั่วโมงปฏิบัติการการบินต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 21.5%
โดยช่วงปลายไตรมาสที่ผ่านมา นกแอร์มีเครื่องบินอยู่ในฝูงบินจำนวน 29 ลำ ลดลงจากจำนวนฝูงบินเฉลี่ยอยู่ที่ 31.26 เมื่อปีที่แล้ว และสายการบินได้เพิ่มเส้นทางบินภายในประเทศ 2 เส้นทาง ทำให้ในไตรมาสแรกนกแอร์มีเส้นทางบินภายในประเทศจำนวน 25 เส้นทาง ในขณะที่เส้นทางบินระหว่างประเทศยังคงเดิมอยู่ที่ 3 เส้นทางบิน