xs
xsm
sm
md
lg

“Super Rich สีเขียว” ตั้งเป้าโต 20% พร้อมปรับปรุงขนาดสาขา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ซุปเปอร์ ริช ไทยแลนด์” (สีเขียว) ยืนยันวิสัยทัศน์เป็นผู้นำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศ เน้นจุดแข็ง “Thailand Best Rate” พร้อมปรับปรุงขนาดสาขารองรับการท่องเที่ยวโต หนุนรายได้เติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าปีนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 20%
 
สิตามนินท์ สุสมาวัตนะกุล กรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซุปเปอร์ริช (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมา “ซุปเปอร์ริช ไทยแลนด์” มีรายได้อยู่ที่ 112,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 43% เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผลจากการท่องเที่ยวและการพัฒนาระบบการจัดการภายใน ให้สามารถบริการลูกค้าได้ตรงใจ และมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน “ซุปเปอร์ริช ไทยแลนด์” มีทั้งหมด 12 สาขา ปีนี้มีแผนการปรับเปลี่ยนขยายพื้นที่สาขาเดิม เพื่อเพิ่มจำนวนเคาน์เตอร์ให้บริการ สำหรับ สาขาเอ็มโพเรียม, เซ็นทรัล พระรามเก้า และสุวรรณภูมิ และมีแผนเปิดอีก 1 สาขาใหม่ภายในปี 2561
 
ลูกค้าส่วนใหญ่ของ “ซุปเปอร์ริช ไทยแลนด์” 60% เป็นคนไทย อีก 40% เป็นชาวต่างชาติ เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง มีการแลกเฉลี่ย 20,000-30,000 บาทต่อครั้ง สกุลเงินที่นิยมแลกได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 25% รองลงมาเป็นเงินเยน 20% และยูโร 10% ปัจจุบันมีสกุลเงินที่ให้แลกทั้งหมด 34 สกุล มีเงินหมุนเวียนเฉลี่ยกว่า 300 ล้านบาทต่อวัน โดยสกุลเงินในฝั่งเอเชีย เช่น บรูไน เวียดนาม พม่า ได้รับความนิยมมากขึ้น ผลพวงจากการท่องเที่ยว

ธณัทร์ษริน สุสมาวัตนะกุล กรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาองค์กร บริษัท ซุปเปอร์ริช (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของลูกค้าก็เปลี่ยนแปลงไป มีการเช็กอัตราแลกเปลี่ยน วางแผนก่อนเดินทาง ถ้าเห็นเรตที่พอใจก็จะแลกไว้ก่อน ดังนั้น “ซุปเปอร์ริช สีเขียว” จึงได้เพิ่มเทคโนโลยีพัฒนาระบบ call center 0-2254-4444 และเพิ่มช่องทางในการติดต่อ ทั้งไลน์ @SuperrichTH และ facebook : SuperrichTH เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการสอบถามข้อมูล รวมถึงสั่งจองเงินล่วงหน้า
 
“ทั้งนี้ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในปีที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 660,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 54% โดยปัจจัยที่ส่งเสริมให้ตลาดเติบโตมากมาจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวจากภาครัฐ รวมถึงธุรกิจการบินที่กระตุ้นให้คนเดินทางมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศมีมากกว่า 2,000 ราย กว่า 50% อยู่ในภาคใต้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ส่วนอีก 40% อยู่ในภาคกลาง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และอีก 10% กระจายไปยังจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ” สิตามนินท์กล่าวปิดท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น