ธุรกิจปั๊มน้ำมันในยุคนี้หลายค่ายพยายามที่จะขยายฐานทางธรุกิจและการตลาดไปยังธุรกิจนอนออยล์ (NON OIL) มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีกมินิมาร์ท ซูเปอร์มาร์เกต ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านบริการเกี่ยวกับรถยนต์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งธุรกิจโรงแรมที่อีกไม่นานเราคงจะได้เห็นกันในปั๊มน้ำมันแล้ว เป็นต้น
การขยายตัวแบบนี้ ด้วยการจัดการบริหารในหลายรูปแบบ ทั้งการลงทุนเอง หรือการหาพันธมิตร รวมไปถึงการซื้อแฟรนไชส์เข้ามาดำเนินการ
กลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก็เป็นอีกค่ายหนึ่งที่ถือได้ว่ามีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการค้าน้ำมันรายใหญ่ในวงการของไทย
“บางจากวางเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนอนออยล์ประมาณ 20% ภายในช่วงเวลา 5 ปีจากนี้ (ปี 2561-2565) จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้จากนอนออยล์เพียง 10% เท่านั้น หรือมีรายได้นอนออยล์ประมาณ 1,500 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว” นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางของนอนออยล์ของบางจาก
ปัจจุบันบางจากมีนอนออยล์ที่ดำเนินการแล้วหลายอย่าง เช่น 1. ร้านกาแฟอินทนิล เป็นของบางจากเอง 2. สพาร์ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่ได้รับสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์จากประเทศเนเธอร์แลนด์ 3. มินิบิ๊กซี เป็นพันธมิตรกับทางบิ๊กซี 4. ธุรกิจคาร์แคร์ต่างๆ ที่เป็นแฟรนไชส์ นอกจากนั้นก็เป็นพันธมิตรร้านค้าอาหารเครื่องดื่มและบริการต่างๆ ที่เข้ามาเช่าพื้นที่เปิดบริการ
ขณะที่บางจากมีปั๊มน้ำมันที่เปิดบริการแล้วแบบมาตรฐาน 520 แห่ง และแบบปั๊มสหกรณ์อีก 615 แห่ง และยังมีแผนขยายปั๊มน้ำมันอีกต่อเนื่อง ทั้งลงทุนเองและแบบดีลเลอร์
โดยเฉพาะร้านกาแฟอินทนิล ถือได้ว่าเป็นตัวพระเอกหลักที่สร้างมากับมือเกือบ 12 ปีแล้ว ปัจจุบันมีเปิดบริการแล้วรวมกว่า 500 สาขาทั่วไทย อีกหนึ่งธุรกิจคือ สพาร์ซูเปอร์มาร์เก็ตที่จะเป็นอีกหนึ่งดาวรุ่งเช่นกัน
ส่วนพันธมิตรที่เป็นร้านค้านั้น ปัจจุบันมีรวมประมาณ 100 แบรนด์ ทั้งร้านอาหาร เครื่องดื่ม ร้านบริการ ร้านจำหน่ายสินค้าต่างๆ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มพันธมิตรธุรกิจแบบเดิมกับธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคตอีก 100 แบรนด์ หรือให้ครบ 200 แบรนด์ภายในช่วง 3-4 ปีจากนี้ ซึ่งจะเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งในการเพิ่มรายได้ของนอนออยล์ด้วยนั่นเอง
แต่ละปีน่าจะมีพันธมิตรเพิ่มมาเฉลี่ย 25 แบรนด์ต่อปี จึงทำให้ถึงเป้าหมายได้ ซึ่งมีหลายรูปแบบที่ทำ ทั้งการซื้อแฟรนไชส์ การร่วมลงทุน การเข้ามาเช่าพื้นที่ เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในแต่ละกรณี
“เรามีการทำแมตชิ่งหรือการจับคู่ เราจะเป็นตัวกลางให้ดีลเลอร์ปั๊มของเรากับร้านค้าพันธมิตรจับคู่กันด้วย เพราะดีลเลอร์บางรายอาจจะมีความต้องการที่แตกต่างกันไป และยังขึ้นอยู่กับทำเลสถานที่ด้วยว่าธุรกิจอะไรจะเหมาะสมกับดีลเลอร์รายใด ซึ่งเราเองก็มีการกลั่นกรองพิจารณาเลือกที่ดีๆ มาแล้วในระดับหนึ่งก่อนที่จะนำเสนอให้ดีลเลอร์ปั๊มเราพิจารณา ที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จไปแล้วหลายรายในการเลือกคู่ธุรกิจกัน” นายสมชัยกล่าว
สำหรับแผนรุกธุรกิจของทั้งร้านกาแฟอินทนิลและสพาร์ซูเปอร์มาร์เก็ตนั้น นายวิบูลย์ วงสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ดูแล 2 ธุรกิจนี้โดยตรง ฉายภาพไว้อย่างน่าสนใจว่า
“เราตั้งเป้าหมายที่จะขยายร้านกาแฟอินทนิลให้ได้ครบ 1,000 สาขาภายในปี 2563 (รวมถึงสาขาในกัมพูชา และ สปป.ลาว ที่จะมี 100 สาขาด้วยภายในปี 2563 เช่นกัน ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท อาร์ซีจี รีเทล (กัมพูชา) จำกัด ที่เป็นผู้รับไลเซนส์) ส่วนสพาร์ซูเปอร์มาร์เก็ตก็จะมีการขยายสาขาต่อเนื่อง รวมทั้งสองธุรกิจนี้คือ อินทนิล กับสพาร์ จะมีความร่วมมือกันในแง่ธุรกิจเกิดขึ้นได้มากกว่านี้เพื่อสร้างการเติบโตของทั้งสองธุรกิจภายใต้การบริหารของเราเอง”
ปัจจุบันอินทนิลมีสาขา 470 สาขา เป็นสาขาของแฟรนไชส์ประมาณ 80% และเป็นของบางจากลงทุนเอง 20% และตั้งอยู่ในปั๊มน้ำมันบางจากสัดส่วน 80% และนอกปั๊มบางจากสัดส่วน 20% สร้างรายได้ให้บางจากในกลุ่มนอนออยล์ถึง 70% ส่วนสพาร์ มีสาขาประมาณ 35 สาขา สร้างรายได้มากรองลงมาจากรายได้รวม และจะขยายสาขาเพิ่มอีกเป็น 70 สาขาภายในสิ้นปีนี้
กลยุทธ์ขยายสาขาของร้านกาแฟอินทนิลจะมีทั้งในไทยและต่างประเทศในหลายโมเดล ทั้งการเปิดในปั๊มน้ำมันบางจากและนอกปั๊มน้ำมันบางจากก็เริ่มมีให้เห็นบ้างแล้ว โดยตั้งเป้าหมายถึงสิ้นปี 2561 นี้จะมีอินทนิลประมาณ 600 สาขา (ขนาดของสาขานั้นขึ้นอยู่กับพื้นที่ โดยรวมเฉลี่ยประมาณ 2-3 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่และทำเล แต่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 50-100 ตารางเมตร เป็นหลัก
เพื่อความหลากหลายและความแข็งแกร่ง อินทนิลแตกโมเดลออกมาเป็น 4 รูปแบบแล้วในเวลานี้ คือ 1. อินทนิลสแตนดาร์ด 2. อินทนิลการ์เดน ที่เน้นความเป็นออร์แกนิก มีประมาณ 40 สาขา 3. อินทนิลบิสโทรเป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม มี 1 สาขาที่ดอนเมือง และ 4. อินทนิลเนเชอรัล ที่เป็นโมเดลล่าสุด ที่รวมสินค้าของอินทนิลกับสพาร์ฯ เข้ามาจำหน่ายด้วยกัน
ขณะที่ธุรกิจสพาร์ซูเปอร์มาร์เก็ต (บางจากซื้อไลเซนส์มาจาก สพาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เนเธอร์แลนด์เมื่อปีเศษที่ผ่านมา มีธุรกิจใน 50 กว่าประเทศทั่วโลก ก่อตั้งมานานกว่า 8 ปีแล้ว) จะลงทุนเฉลี่ย 4-10 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กับความชัดเจนระหว่าง สพาร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต กับ มินิบิ๊กซีที่เป็นพันธมิตรกับบางจากมาก่อนหน้านี้
นายวิบูลย์อธิบายว่า ทั้งสองไม่ได้มีความซ้ำซ้อนกัน และเรายังคงเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันกับมินิบิ๊กซี เพราะทั้งสองแบรนด์นี้ก็มีความแตกต่างกันทั้งในแง่การนำเสนอสินค้า ขนาดของสโตร์ ความหลากหลายของสินค้า กลุ่มเป้าหมาย เราร่วมมือกับทางมินิบิ๊กซีมา 5-6 ปีแล้วก็ยังดีทำงานร่วมกันได้ดี ประสบความสำเร็จ ล่าสุดก็เพิ่งเปิดสาขาใหม่ในปั๊มบางจากที่ชัยภูมิ ซึ่งขณะนี้เรามีมินิบิ๊กซีในบางจากแล้วไม่ต่ำกว่า 15 สาขา
ทั้งนี้ สพาร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต จะรุกในทุกโมเดลทั้งใหญ่ กลาง เล็ก และขายแฟรนไชส์ด้วย โดยปัจจุบันเปิดสพาร์ซูเปอร์มาร์เก็ตในปั๊มบางจากแล้ว 33 แห่ง และเป็นแฟรนไชส์ 2 ที่ คือ พหลโยธิน กับ แก่งกระจาน ส่วนที่เปิดนอกปั๊มบางจากและเป็นของบริษัทฯ เองคือที่ สำนักงานใหญ่บางจาก ซึ่งปีนี้มองว่าจะขายแฟรนไชส์สพาร์ซูเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้นกว่า 80% จากจำนวนสาขาที่จะเปิดปีนี้ 35 แห่ง
นายวิบูลย์กล่าวด้วยว่า ร้านกาแฟอินทนิลกับสพาร์ซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีความร่วมมือกันในต่างประเทศด้วย โดยอินทนิลจะนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายผ่านเครือข่ายของสพาร์ทั่วโลก รวมทั้งสินค้าอื่นๆ ด้วย ซึ่งได้เริ่มต้นแล้วที่สพาร์ประทศจีน เป็นการทดลองก่อน ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างโอกาสและเปิดช่องทางให้กับสินค้าไทยในการรุกตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งยังมีแผนที่จะนำแบรนด์ร้านกาแฟอินทนิลไปเปิดบริการในสพาร์ซูเปอร์มาร์เก็ตในต่างประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งสพาร์ฯ เองยังไม่มีร้านกาแฟเปิดในสโตร์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องมีการเจรจากันในรายละเอียดเป็นขั้นตอนกันต่อไป