xs
xsm
sm
md
lg

“ไมเนอร์” จ่อซื้อแบรนด์แฟชั่นลดเสี่ยง ชู 3 กลยุทธ์หลักดันยอดหมื่นล.ใน3ปี คว้าโอวีเอสจากอิตาลีชนฟาสต์แฟชั่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

อิสเมล เซยิส (ซ้าย)และ  เจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์  (ขวา)
ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไมเนอร์ฯ เดินเกมรุกตลาดแฟชั่น ดันยอดขายรวม 10,000 ล้านบาทในปี 2563 ชู 3 กลยุทธ์หลัก “คว้าสิทธิ์แบรนด์เพิ่ม-เล็งซื้อแบรนด์ไทยลดเสี่ยง-ผลักดันแบรนด์เดิมให้มียอดขายดีขึ้น” ทุ่ม 1 พันล้านบาท ปี 61 ลุยเปิดสาขารวม 50 สาขา ล่าสุดคว้าลิขสิทธิ์แบรนด์โอวีเอส จากอิตาลี บุกตลาดฟาสต์แฟชั่น



นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ในเครือไมเนอร์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางเป้าหมายอีก 3 ปี หรือภายในปี 2563 จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 10,000 ล้านบาท จากปีที่แล้ว (2560) ที่มียอดขาย 4,000 ล้านบาท เติบโต 17% ส่วนปีนี้ตั้งเป้ายอดขายรวม 5,000 ล้านบาท

ด้วยกลยุทธ์หลักธุรกิจ 3 แนวทาง คือ 1. การขยายพอร์ตโฟลิโอในการเป็นดิสทริบิวเตอร์สินค้าจากต่างประเทศ 2. การซื้อหรือควบรวมกิจการ เพื่อเป็นการแสวงหาโอกาสในการเป็นเจ้าของแบรนด์ของตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็นแค่คนทำตลาดแบรนด์คนอื่นอย่างเดียว โดยเฉพาะสนใจซื้อแบรนด์ของไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและมีหลายแบรนด์ที่น่าสนใจ ซึ่งทั้ง 2 กลยุทธ์แรกนี้จะเน้นไปที่สินค้าไลฟ์สไตล์ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า กีฬา แอสเซสซอรี่ เครื่องสำอาง (ซึ่งก่อนหน้านี้เลิกทำไปแล้วหลายแบรนด์) เป็นต้น
ผู้บริหารไมเนอร์ฯแถลงเกี่ยวกับการได้รับสิทธเิ์แบรดน์โอวีเอสจากอิตาลีทำตลาดในไทย
3. การเพิ่มประสิทธิภาพและการเพิ่มรายได้รวมทั้งกำไรในแบรนด์เดิมที่มีอยู่ให้มากขึ้นเพราะบางแบรนด์มีศักยภาพแต่ยังไม่ได้ทำตลาดเต็มที่รวมทั้งบางแบรนด์ยังใหม่อยู่ ยอดขายจึงอาจจะยังไม่มากนัก ทั้งนี้ การพิจารณาทำแบรนด์ใดปัจจัยหลักๆ ที่ต้องคำนึง คือ จะดูที่ตลาด คู่แข่งในตลาด ศักยภาพของแบรนด์นั้นๆ และต้องมียอดขายไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทต่อปี โดยไม่กำหนดว่าจะต้องมีทั้งหมดกี่แบรนด์ภายใน 3 ปีจากนี้ แต่ที่สำคัญคือเป็นแบรนด์ที่ทำรายได้ดีมีกำไร

ปัจจุบันมีสินค้าเสื้อผ้า แฟชั่น เครื่องหนัง รองเท้า ที่ทำรวมประมาณ 14 แบรนด์ ซึ่งมีประมาณ 4 แบรนด์ที่เป็นตัวทำรายได้หลักเกินกว่า 500 ล้านบาทต่อปี เช่น เอสปรี ชาร์ลสแอนด์คีธ บอสสินี่ เป็นต้น และเป็นแบนรด์ที่เติบโตสูงกว่ามาตรฐานของตลาดซึ่งอยู่ที่ 19% และมีแนวโน้มไปในทิศทางดีต่อเนื่อง ซึ่งปีที่แล้วที่นำเข้ามาใหม่คือแบรนด์ อะเนลโล จากญี่ปุ่น ซึ่งแบรนด์นี้เติบโตอย่างมาก เพียง 2 เดือนแรกก็กำไรแล้ว ปีที่แล้วเปิดจุดจำหน่ายมากกว่า 90 แห่ง มียอดขายแบรนด์นี้ประมาณ 400 กว่าล้านบาท อย่างไรก็ตามมีบางแบรนด์ที่ยอดขายยังน้อยอยู่เช่น บรู้ค บราเธอร์ส ยังไม่ถึง 100 ล้านบาทแต่เพิ่งเริ่ม หรือแบรนด์สวีลลิ่ง ยอดขายน้อยแต่มาร์จิ้นดีมาก

นายสุทัศน์ อนุวุฒินาวิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ ไมเนอร์คอปอร์เรชั่น กล่าวว่า ปี 2561 นี้มีแผนลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ในการขยายสาขาใหม่และปรับปรุงสาขาเก่าของทุกแบรนด์รวมกันประมาณ 50 สาขา เช่น แบรนด์อะเนลโลเปิดใหม่ 20 สาขา แบรนด์โอวีเอสเปิดใหม่ 6 สาขา และอื่นๆเป็นต้น มากกว่าปีที่แล้วที่ใช้งบลงทุนเพียง 300 กว่าล้านบาท และมีสาขาขณะนี้รวม 400 สาขา
ร้านโอวีเอสที่เมกาบางนา
นายจักร เฉลิมชัย รองประธานกลุ่มพัฒนาธุรกิจใหม่และอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดรวมเสื้อผ้าในไทยเติบโต 4.4% ในปีที่แล้ว และคาดว่าในปี 2561 นี้จะโตประมาณ 4.1% หรือมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาท ขณะที่ตลาดฟาสต์แฟชั่นนั้นก็เติบโตดี สังเกตุได้ว่ามีหลายอินเตอร์แบรนด์ระดับท็อปๆ เข้ามาเปิดในไทยแล้วไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์ มีมูลค่ารวม 30,000 กว่าล้านบาท เช่น ยูนิโคล่ เอชแอนด์เอ็ม ซาร่า ท็อปช็อป ท็อปแมน เป็นต้น เราจึงสนใจตลาดฟาสต์แฟชั่นกลุ่มนี้เพื่อเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอด้วยการเป็นตำแทนตำหน่ายแบรนด์โอวีเอสจากอิตาลี เปิดแฟลกชิบสโตร์สาขาแรกที่เมกาบางนา

สาเหตุที่เปิดแฟลกชิปสโตร์สาขาแรกที่ชั้นล่างเมกาบางนา เนื่องจากว่าในโซนดังกล่าวนี้เป็นทำเลที่โดดเด่น ติดกับร้านซาร่า และตรงข้ามกับร้านเอชแอนด์เอ็ม เมกาบางนาเป็นศูนย์การค้าที่รวมทุกสิ่งทั้ง อิเกีย อาหาร แบรดน์แฟชั่น ซูเปอร์มาร์เก็ต และเป็นศูนย์ที่เติบโตมากที่สุดโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของแบรนด์โอวีเอส เพราะยอดขายกว่า 40% ของโอวีเอส มาจากสินค้าเด็ก

นางนิศากร เมสันธสุวรรณ ผู้จัดการทั่วไป ของแบรนด์โอวีเอส ประเทศไทย กล่าวว่า ล่าสุดไมเนอร์ฯได้รับสิทธิ์ ในการทำตลาดแบรนด์โอวีเอในไทยนาน 6 ปี ปีนี้ใช้งบลงทุน 200 กว่าล้านบาท เพื่อขยายสาขาร้านโอวีเอส ประมาณ 7 แห่ง ซึ่งเปิดไปแล้ว 3 แห่งที่จังค์ซีลอนภูเก็ต, ท่าอากาศยานดอนเมืองร้านแบบโอวีเอสคิดส์ และเมกาบางนา แฟล็กชิปสโตร์ และจะเปิดแฟลกชิบสโตร์ต่อที่แฟชั่นไอส์แลนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ และร้านโอวีเอสคิดส์อีกที่เทอร์มินอล 21 พัทยา ตั้งเป้ายอดขายไว้ปีแรก 300 ล้านบาท

ใน 3 ปีจากนี้จะเพิ่มสาขาของโอวีเอสอีก ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่มีศักยภภาพ เฉลี่ยเปิดเพิ่มปีละ 3 สาขา ด้วยพื้นที่ประมาณ 800-1,000 ตารางเมตร ใช้งบประมาณ 30 ล้านบาทต่อสาขา คิดเป็นตารางเมตรละ 30,000 บาท และ 3 ปีจากนี้ตั้งเป้าหมายขึ้นเป็นท็อป 3 ของฟาสต์แฟชั่นในประเทศไทย

นายอิสเมล เซยิส ผู้อำนวยการ แบรนด์โอวีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า โอวีเอสเป็นแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นจากอิตาลี มีสาขารวมกันทั่วโลกมากกว่า 1,300 แห่งแล้ว กระจายไปใน 35 ประเทศ ทั้ง อิตาลี จีน ดูไบ สเปน เป็นต้น และประเทศอื่นๆ มีผู้เข้าชมร้านมากกว่า 150 ล้านคนต่อปี ซึ่งแฟลกชิปสโตร์ในมิลานนั้น มีพื้นที่มากถึง 2,800 ตารางเมตร มียอดขายสูงถึง 1,151 ล้านยูโร หรือประมาณ 43,738 ล้านบาท ในปี 2559 และไทยเป็นประเทศแรกในตลาดเซาท์อีสต์เอเซีย


กำลังโหลดความคิดเห็น