“พาณิชย์” เผยชาวสวนยิ้มแป้น “ลิ้นจี่บางขุนเทียน” ที่เพิ่งขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าจีไอ ราคาพุ่งกระฉูดแตะกิโลละ 500-1,000 บาท เหตุผลผลิตมีน้อย และปีนี้เพิ่งให้ผลผลิตเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ด้านชาวสวนเผยการขึ้นทะเบียนจีไอทำให้ราคาเพิ่มจริง เตรียมต่อยอดดันพื้นที่ปลูกเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐ
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า ขณะนี้ลิ้นจี่บางขุนเทียนของชาวสวนจากวิสาหกิจชุมชนจอมทองพัฒนา สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ของกรุงเทพมหานคร ที่ปลูกในพื้นที่เขตจอมทอง และเขตราษฎร์บูรณะ ได้มีผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว หลังจากที่ไม่ได้ให้ผลผลิตมานานถึง 4 ปี หรือตั้งแต่ปี 2557 ส่งผลให้ราคาขายล่าสุดพุ่งสูงขึ้นไปถึงกิโลกรัม (กก.) ละ 500-1,000 บาท เนื่องจากเกษตรกรต้องดูแลทะนุถนอมผลผลิตเป็นอย่างดีเพื่อควบคุมคุณภาพและรสชาติให้ได้ตามมาตรฐานของสินค้าจีไอ
”ปีนี้สภาพอากาศเอื้ออำนวย ทำให้ลิ้นจี่บางขุนเทียนให้ผลผลิตเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี แต่ยังมีปริมาณที่จำกัด เกษตรกรเก็บผลผลิตได้เพียง 500 กิโลกรัม หรือประมาณ 10% ของผลผลิตทั้งหมดเท่านั้น ทำให้ลิ้นจี่บางขุนเทียนกลายเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะผลผลิตมีคุณภาพดี เนื้อแห้ง รสชาติหวานอร่อย ได้มาตรฐานสินค้าจีไอ” นายทศพลกล่าว
ทั้งนี้ กรมฯ ได้ประกาศขึ้นทะเบียนลิ้นจี่บางขุนเทียนเป็นสินค้าจีไอของกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2561 ทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที เพราะเป็นสินค้าหายาก สามารถผลิตได้เฉพาะท้องถิ่น โดยกรมฯ ยังมีแผนที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนอื่นๆ ยื่นคำขอจดทะเบียนสินค้าในชุมชนเป็นสินค้าจีไอให้ได้เพิ่มมากขึ้นต่อไป
น.ส.พรทิพย์ เทียนทรัพย์ เกษตรกรเจ้าของสวนลิ้นจี่บางบขุนเทียน “ภูมิใจการ์เด้น” กล่าวว่า หลังจากลิ้นจี่บางขุนเทียนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าจีไอทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นทันที เพราะชาวสวนต้องดูแลเป็นอย่างดี เพื่อคงมาตรฐานสินค้าจีไอเอาไว้ โดยลักษณะเด่นของลิ้นจี่บางขุนเทียนที่ได้รับขึ้นทะเบียนจีไอ จะมีผลขนาดกลาง รูปทรงคล้ายหัวใจ บ่าไม่สูง หนามแหลมสั้น เปลือกสีแดงถึงแดงคล้ำ เนื้อแห้ง ไม่แฉะน้ำ รสชาติหวาน หอม ไม่มีรสฝาดเจือ ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์กะโหลกใบยาว หรือกะโหลกใบอ้อ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่นิยมที่สุด
สำหรับสวนภูมิใจการ์เด้น เป็นสวนลิ้นจี่ที่มีความเก่าแก่ โดยลิ้นจี่ที่ปลูกในสวนบางต้นมีอายุมากกว่า 100 ปี และยังให้ผลผลิตได้อยู่ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมสวนได้อย่างสม่ำเสมอ โดยตนและเกษตรกรในพื้นที่ตั้งใจจะพัฒนาสวนแห่งนี้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างมั่นคงและยั่งยืนตามแนวทางที่ภาครัฐแนะนำ