PTTGC กล่อมนักลงทุนต่างประเทศ วางศิลาฤกษ์ 3 โครงการปิโตรเคมีสมรรถนะสูงในพื้นที่ EEC จังหวัดระยอง ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย กระจายความเจริญทางเศรษฐกิจสู่ชุมชนเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน เป็นประตูสู่เศรษฐกิจโลก
วันนี้ (23 มี.ค.) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) จัดพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการส่วนขยายปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ซึ่งเป็นโครงการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้นและขั้นปลาย ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดระยอง ประกอบด้วย โครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตโอเลฟินส์ (ORP : Olefins Reconfiguration Project) โครงการผลิตสารโพรพิลีน ออกไซด์ (Propylene Oxide Project) และ โครงการผลิตสารโพลีออลส์ (Polyols Project) รวมมูลค่าการลงทุน7หมื่นล้านบาท โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี ณ พื้นที่ก่อสร้างโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตโอเลฟินส์ PTTGC สาขา 2 (โรงโอเลฟินส์ ไอ-หนึ่ง) จังหวัดระยอง
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เมื่อ 30 ปีก่อนประเทศไทยมีการค้นพบก๊าซธรรมชาติ รัฐบาลในอดีตตัดสินใจลงทุนวางท่อก๊าซโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ก่อกำเนิดเป็นอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมี เพื่อเป็นวัตถุดิบในการสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องมูลค่ามหาศาล ในวันนี้กระทรวงพลังงานมีภารกิจสำคัญในการจัดหา พัฒนาและบริหารจัดการพลังงาน เพื่อสร้างเสถียรภาพความมั่นคงและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่พลังงานจะต้องก้าวไปสู่พลังงาน 4.0 พร้อมทั้งการสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาพื้นที่ EEC เพื่อรองรับการพัฒนาของอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต โดยมุ่งเน้นให้แต่ละพื้นที่ซึ่งมีจุดเด่นแตกต่างกันมีความสามารถที่จะนำพาการพัฒนาอุตสาหกรรมของตนเองได้ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคพร้อมทั้งการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ
การดำเนินโครงการส่วนขยายปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษในพื้นที่ EEC ของ PTTGC ร่วมกับนักลงทุน พันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญนี้ จะช่วยสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี สร้างโอกาสการจ้างงาน พร้อมการพัฒนาท้องถิ่นและชุมชน เพื่อประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและเติบโตร่วมกัน อย่างยั่งยืน
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการ PTTGC และหัวหน้าทีมภาคเอกชน คณะทำงานด้านการพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต กล่าวว่า ขณะนี้ พระราชบัญญัติ EEC ได้รับการเห็นชอบและ กำลังอยู่ระหว่างการออกเป็นกฎหมาย และ ถูกกำหนดลงในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2560-2579) สอดคล้องกับไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งถือเป็นก้าวสําคัญของการพัฒนาและเดินหน้าตามนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการลงทุนขนาดใหญ่จะได้รับการคุ้มครองและดูแลอย่างเป็นธรรม ปัญหาและอุปสรรคจะได้รับการดูแลแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
โครงการส่วนขยายปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ซึ่งเป็นโครงการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้นและขั้นปลาย ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดระยอง ทั้ง 3 โครงการนี้ ไม่เพียงส่งเสริม New S-Curve ใน EEC เท่านั้น แต่ยังมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ เกิดการกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจสู่ชุมชนอีกด้วย
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC กล่าวว่า วันนี้ PTTGC พร้อมที่จะลงทุนเดินหน้าโครงการปิโตรเคมี 3 โครงการ มูลค่าราว 70,000 ล้านบาท ในพื้นที่ EEC ที่นับเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นประตูสู่ทวีปเอเชีย ยุโรปและอเมริกา ถือเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของโลก
PTTGC เชื่อมั่นว่า EEC จะสร้างโอกาสการกลับมาลงทุนใหม่ของนักลงทุนบนพื้นที่เดิม ด้วยมีจุดแข็งในด้านโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่พัฒนาต่อยอดใหม่ โดย PTTGC ได้เชิญนักลงทุนต่างชาติมาเยี่ยมชมพื้นที่ใน EEC และ PTTGC ได้ไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุน 7-8 บริษัทที่ให้ความสนใจและตัดสินใจร่วมลงทุน โดยได้มีการลงนาม MOU แล้ว 5 บริษัท คิดเป็นเงินลงทุนใน EEC รวมกว่า 100,000 ล้านบาท ในระยะ 5 ปี และบริษัทฯ ก็พร้อมจะเดินหน้าไปกับการพัฒนา EEC ของประเทศ
โครงการส่วนขยายปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ 3 โครงการ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. โครงการ Olefins Reconfiguration Project (ORP) : บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาออกแบบวิศวกรรมการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ การก่อสร้าง กับบริษัท ซัมซุงเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SECL) บริษัท ซัมซุง เอนจิเนียริ่ง ไทยแลนด์ จำกัด (SET) และ บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) (TTCL) เพื่อก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมี โครงการโรงโอเลฟินส์แห่งใหม่ (Olefins Reconfiguration Project) โดยใช้แนฟทา และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เป็นวัตถุดิบหลัก คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2563 โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 36,000 ล้านบาท
2. โครงการผลิตสารโพรพิลีน ออกไซด์ (Propylene Oxide Project) และ 3.โครงการผลิตสารโพลีออลส์ (Polyols Project) : เป็นโครงการในธุรกิจสาย Polyurethane ซึ่งอยู่ในกลุ่มเคมีภัณฑ์สมรรถนะสูง (Performance Materials & Chemicals) ที่เป็นการต่อสายธุรกิจผลิตภัณฑ์ Polyurethane อย่างครบวงจร เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดกำลังมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น ตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า ปัจจุบันได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อย คือ GC Oxirane Co., Ltd. (GCO) และบริษัทร่วมทุน GC Polyols Co., Ltd (GCP) ระหว่าง PTTGC และพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น คือ บริษัท Sanyo Chemicals Industries (SCI) และ บริษัท Toyota Tsusho Corporation (TTC) เพื่อดำเนินธุรกิจ PO และ Polyols โดยมีมูลค่าโครงการ PO/Polyols รวมกันประมาณ 32,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ปี 2563