“พาณิชย์” แนะผู้ประกอบการไทยลุยขยายตลาดการค้า การลงทุนในรัฐอุตตรประเทศและรัฐอานธรประเทศของอินเดีย หลังพบมีโอกาสสูง ทั้งการลงทุนในภาคเกษตร อาหาร สิ่งทอ ภาพยนตร์ ท่องเที่ยว นม อิเล็กทรอนิกส์ และการก่อสร้าง ย้ำไทยอย่าปล่อยให้โอกาสหลุดลอย เหตุอินเดียกำลังจะก้าวเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอีกแห่งของโลก หากช้าจะตกขบวนแพ้คู่แข่ง
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการเข้าร่วมงาน UP Investors Summit 2018 ณ เมืองลัคเนาว์ รัฐอุตตรประเทศ และงาน Partnership Summit 2018 ณ เมืองวิสาขปัทนัม รัฐอานธรประเทศ ที่อินเดีย ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้นำคณะภาครัฐและเอกชน เช่น ซีพี, เอสซีจี, ดั๊บเบิ้ลเอ, อิตาเลียนไทย, สยามโกลบอลเฮ้าส์, EXIM Bank และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เดินทางไปศึกษาและหาลู่ทางในการทำการค้าและการลงทุนใน 2 รัฐของอินเดีย ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ที่กระทรวงฯ ต้องการบุกเจาะ โดยพบว่าทั้ง 2 รัฐมีโอกาสสำหรับไทยทั้งการค้าขาย และการเข้าไปลงทุน
โดยรัฐอุตตรประเทศเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในอินเดียกว่า 220 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอินเดีย เป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของอินเดีย เช่น ข้าว อ้อย และมันฝรั่ง และยังตั้งอยู่บนจุดตัดของระเบียงอุตสาหกรรมเดลี-มุมไบ และระเบียงอุตสาหกรรมอมาริสา-กัลกัตตา มีนโยบายเปิดรับการลงทุนที่ทันสมัย เหมาะสำหรับการเป็นตลาดใหม่ของสินค้าและบริการของไทย และเป็นแหล่งการลงทุนแห่งใหม่ของภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะในสาขาเกษตรและการแปรรูปอาหาร สิ่งทอ ภาพยนตร์ พลังงานทดแทน การท่องเที่ยว MSMEs อุตสาหกรรมนม และอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนรัฐอานธรประเทศ เป็นรัฐที่มี Ease of Doing Business อันดับ 1 ของอินเดีย เป็นรัฐที่ส่งเสริมการลงทุนด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การแปรรูปสินค้าเกษตร การท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา และกำลังพัฒนาเมืองหลวงใหม่ คือ เมืองอมาราวตี เมืองอัจฉริยะแห่งแรกของอินเดีย จึงเป็นโอกาสดีสำหรับเอกชนด้านบริการก่อสร้างของไทย และยังพบว่าไทยมีโอกาสด้านลอจิสติกส์ เพราะรัฐอานธรประเทศตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของอินเดีย มีการเชื่อมโยงทางทะเลผ่านท่าเรือวิสาขปัทนัม ทางถนนผ่านระเบียงอุตสาหกรรมวิสาขปัทนัม-เจนไน และระเบียงอุตสาหกรรมเจนไน-บังคาลอร์ และยังมีการพัฒนาท่าอากาศยานอีก 4 แห่ง การพัฒนาเส้นทางขนส่งทางน้ำในประเทศอีก 888 กิโลเมตร ซึ่งเบื้องต้นประธานท่าเรือวิสาขปัทนัมสนใจที่จะร่วมมือกับท่าเรือระนองเพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ร่วมกัน
น.ส.ชุติมากล่าวว่า ยังได้นำคณะเดินทางไปสำรวจลู่ทางการค้าการลงทุนที่เมืองไฮเดอราบาด รัฐเตลังกานา ซึ่งเป็นรัฐใหม่สุดของอินเดีย มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และมีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจที่ทันสมัย จนได้รับการขนานนามว่าเป็นสิงคโปร์แห่งอินเดีย โดยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไอทีและบริการไอที เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและยา ซึ่งรัฐนี้เหมาะสำหรับการเป็นฐานการวิจัยและพัฒนาให้กับอุตสาหกรรมและธุรกิจของไทย เนื่องจากมีความพร้อมทั้งเทคโนโลยีและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งได้นำคณะภาคเอกชนร่วมพบหารือและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับภาคเอกชนรายใหญ่ของรัฐทมิฬนาฑู รัฐที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Detroit of India ด้วย
“การเดินทางครั้งนี้ทำให้ภาคเอกชนไทยได้มองอินเดียในรูปแบบใหม่ โดยกระทรวงฯ ต้องการให้นักธุรกิจไทยได้เห็นและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอินเดีย ในฐานะประเทศที่กำลังก้าวขึ้นสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ ซึ่งไทยจะต้องไม่พลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตลาดอินเดีย และเข้าไปเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน เหมือนกับที่เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม และเนเธอร์แลนด์ ที่ปัจจุบันได้เข้าไปเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับอินเดียแล้ว” น.ส.ชุติมากล่าว