“พาณิชย์” เตรียมจัดทำบันทึกความร่วมมือระหว่างไทย-EAEU เพื่อเป็นช่องทางขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ก่อนปูทางไปสู่การเจรจาทำ FTA ระหว่างกัน เผยการทำ FTA จะช่วยเปิดโอกาสทางการค้า การลงทุนไทยเข้าสู่ตลาด EAEU และยังสามารถใช้ EAEU เชื่อม EEC กับเส้นทางสายไหมของจีนได้ด้วย
น.ส.บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเปิดงานสัมมนาเรื่อง “สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (EAEU) : โอกาสของไทยบนเส้นทางสายไหม” เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ไทยให้ความสำคัญต่อการขยายการค้า การลงทุน กับ EAEU เพราะเป็นตลาดที่สำคัญ มีประชากรรวมกันกว่า 180 ล้านคน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รวมกันกว่า 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีมูลค่าการค้ากับประเทศนอกกลุ่มกว่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับไทย และไทยยังอยู่ระหว่างการจัดทำบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยกับ EAEU เพื่อเป็นช่องทางกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาต่างๆ ก่อนปูทางไปสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในอนาคตด้วย
ทั้งนี้ การพิจารณาทำ FTA กับ EAEU เป็นการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนของไทยกับประเทศในกลุ่ม EAEU โดยสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกไป EAEU เช่น อุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์ อาหาร ผลิตภัณฑ์การเกษตร สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม และยังสามารถเชื่อมโยงไทยกับ EAEU ผ่านระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) กับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ของจีน ที่มีเส้นทางเชื่อมเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาได้ด้วย เพราะประเทศสมาชิก EAEU ตั้งอยู่บนเส้นทางนี้ด้วย
“การจัดสัมมนามีเป้าหมายเพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รู้จักประเทศสมาชิก EAEU ทั้งจุดเด่นและลักษณะตลาด เช่น นโยบาย Look East ของรัสเซียที่มุ่งส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งโอกาสในการขยายการค้าการลงทุนกับคาซัคสถาน อาร์เมเนีย คีร์กิซสถาน และเบลารุส รวมทั้งประสบการณ์ในการทำธุรกิจจริงในตลาดนี้ เนื่องจากยังเป็นตลาดใหม่ที่เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นต่อไทย และเป็นกลุ่มประเทศที่อยู่บนเส้นทางสายไหมของจีนที่เป็นความร่วมมือของประเทศตั้งแต่ฝั่งเอเชียถึงยุโรป” น.ส.บรรจงจิตต์กล่าว
สำหรับการค้าไทย-EAEU ในปี 2560 มีมูลค่า 3,317.96 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 57% ไทยส่งออกสินค้าไปยัง EAEU เป็นมูลค่ากว่า 1,099.20 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยนำเข้าจาก EAEU 2,190 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์ อาหาร ผลิตภัณฑ์การเกษตร สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ในขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ เป็นต้น โดยรัสเซียเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยใน EAEU ตามมาด้วยคาซัคสถาน เบลารุส อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน