นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมติดตามงานและมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ โดยกล่าวถึงสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าว ว่า ขณะนี้ราคาข้าวหอมมะลิปรับตัวดีขึ้น ซึ่งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์จะต้องทำหน้าที่บริหารจัดการผลผลิต สร้างตราสัญลักษณ์ให้กับผลิตภัณฑ์ และหาตลาดรองรับ ส่วนการแก้ปัญหายางพาราขณะนี้กระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์ได้รับไปบริการจัดการ และอยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนโครงสร้างสินค้าเกษตรหลายรายการ อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะต้องบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรทั้งระบบ ทั้งปาล์มน้ำมัน ข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา โดยเฉพาะยางพาราที่ควรนำเข้ามาเป็นสินค้าควบคุมเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการตรวจสอบ
ส่วนการส่งออกจะต้องเดินหน้าทำตลาดให้ต่อเนื่องในปีหน้า หลังแนวโน้มการส่งออกยังขยายตัว โดยเบื้องต้นมูลค่าการส่งออกในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขยายตัวถึงร้อยละ 13.36 ทำให้ในช่วง 11 เดือนของปี 2560 การส่งออกโตถึงร้อยละ 10.1 แล้ว และหาก 1 เดือนที่เหลือสามารถส่งออกได้ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อว่าจะมีโอกาสที่ทั้งปีนี้การส่งออกจะขยายตัวใกล้เคียงร้อยละ 10 ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับการผลักดันเพิ่มสัดส่วนการส่งออกของเอสเอ็มอีให้ขยายเพิ่มขึ้น รวมถึงประเทศศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย และสหภาพยุโรป (อียู) โดยเน้นทำแผนยุทธศาสตร์ การเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจเป็นรายเมือง และรายประเทศ ก่อนจัดทีมไปโรดโชว์ โดยเฉพาะตลาดยุโรป อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคมนี้ จะมีคณะนักลงทุนจากประเทศจีน เดินทางมาเยือนไทยในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งไทยจะต้องใช้ประโยชน์ดังกล่าวนำเสนอโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทยในอนาคต เช่น เส้นทางสายไหมเส้นใหม่ หรือ วันเบลล์วันโรด์ ที่จะเชื่อมโยงกับ 11 มณฑลของจีน
ส่วนแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้กำชับให้กรมการค้าภายใน และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าประสานการทำงาน กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ททท. และหอการค้า ในการพัฒนาตลาดและพัฒนาสินค้าชุมชน รองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งพัฒนาร้านค้าโชห่วย สู่อี-คอมเมิร์ซ ต่อยอดสินค้าไทยสู่ตลาดต่างประเทศ โดยใช้แพลตฟอร์มของไทย อย่าง Thaitread.com และการใช้ประโยชน์จากร้านธงฟ้าประชารัฐ ภายใต้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ปัจจุบันมีทั้งสิ้นกว่า 20,000 แห่ง และเตรียมที่จะขยายเพิ่มอีก 20,000 แห่งในปี 2561 เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนและช่วยรักษาระดับเสถียรภาพราคาสินค้าในตลาด โดยได้หารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาของบเพิ่มเติมในการติดตั้งเครื่องรูดบัตร
ส่วนการส่งออกจะต้องเดินหน้าทำตลาดให้ต่อเนื่องในปีหน้า หลังแนวโน้มการส่งออกยังขยายตัว โดยเบื้องต้นมูลค่าการส่งออกในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขยายตัวถึงร้อยละ 13.36 ทำให้ในช่วง 11 เดือนของปี 2560 การส่งออกโตถึงร้อยละ 10.1 แล้ว และหาก 1 เดือนที่เหลือสามารถส่งออกได้ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อว่าจะมีโอกาสที่ทั้งปีนี้การส่งออกจะขยายตัวใกล้เคียงร้อยละ 10 ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับการผลักดันเพิ่มสัดส่วนการส่งออกของเอสเอ็มอีให้ขยายเพิ่มขึ้น รวมถึงประเทศศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย และสหภาพยุโรป (อียู) โดยเน้นทำแผนยุทธศาสตร์ การเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจเป็นรายเมือง และรายประเทศ ก่อนจัดทีมไปโรดโชว์ โดยเฉพาะตลาดยุโรป อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคมนี้ จะมีคณะนักลงทุนจากประเทศจีน เดินทางมาเยือนไทยในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งไทยจะต้องใช้ประโยชน์ดังกล่าวนำเสนอโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทยในอนาคต เช่น เส้นทางสายไหมเส้นใหม่ หรือ วันเบลล์วันโรด์ ที่จะเชื่อมโยงกับ 11 มณฑลของจีน
ส่วนแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้กำชับให้กรมการค้าภายใน และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าประสานการทำงาน กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ททท. และหอการค้า ในการพัฒนาตลาดและพัฒนาสินค้าชุมชน รองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งพัฒนาร้านค้าโชห่วย สู่อี-คอมเมิร์ซ ต่อยอดสินค้าไทยสู่ตลาดต่างประเทศ โดยใช้แพลตฟอร์มของไทย อย่าง Thaitread.com และการใช้ประโยชน์จากร้านธงฟ้าประชารัฐ ภายใต้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ปัจจุบันมีทั้งสิ้นกว่า 20,000 แห่ง และเตรียมที่จะขยายเพิ่มอีก 20,000 แห่งในปี 2561 เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนและช่วยรักษาระดับเสถียรภาพราคาสินค้าในตลาด โดยได้หารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาของบเพิ่มเติมในการติดตั้งเครื่องรูดบัตร