PTTGC จับมือพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น Sanyo Chemical และ Toyota Tsusho จัดตั้งโรงงานผลิตโพลีออลซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตโพลียูรีเทน นับเป็นก้าวที่สำคัญของ PTTGC ในการเดินหน้าโครงการปิโตรเคมีในพื้นที่ EEC โดยต้นปีหน้าจะเซ็นสัญญาร่วมทุนตั้งโรงงานอีก
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ Dr. Takao Ando, President บริษัท ซันโยเคมิคอล อินดัสทรี จำกัด (SCI) และ Mr. Soichiro Matsudaira, Representative Director, Member of the Board, Executive Vice President, Chief Division Officer of Chemicals & Electronics Division, Toyota Tsusho Corporation (TTC) ในโครงการ Polyols & PU System ร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัท GC Polyols โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นประกอบด้วย PTTGC 82.1% SCI 14.9% และ TTC 3%
โครงการร่วมทุนในครั้งนี้นับเป็นก้าวที่สำคัญของ PTTGC ที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S- Curve) ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อมุ่งสู่ไทยแลนด์ 4.0 ที่จะสามารถต่อยอดการดำเนินธุรกิจไปสู่ Performance Chemical เป็นการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ สอดคล้องตามแผนกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นที่จะขยายธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E) และอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง
โรงงานผลิตโพลีออลตั้งอยู่ในนิคมเหมราชตะวันออก จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่การลงทุนภายในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยโรงงานมีกำลังการผลิตโพลีออล 130,000 ตันต่อปี และ PU Systems กำลังการผลิต 20,000 ตันต่อปี จะเริ่มการก่อสร้างในเดือนกันยายน 2560 คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ประมาณปี 2563 ภายใต้การร่วมลงทุน PTTGC จะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบหลัก Propylene Oxide (PO) และ Ethylene Oxide (EO) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต Polyols สำหรับใช้ในการผลิตโพลียูรีเทนคุณภาพสูงที่ใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า (E&E) และอุตสาหกรรมก่อสร้าง
โดย SCI จะเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์โพลีออลประเภทต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ส่วน TTC จะให้การสนับสนุนด้านการตลาด การจัดจำหน่ายและการบริหารจัดการด้านลอจิสติกส์ในทวีปเอเชีย ด้วยความร่วมมืออันแข็งแกร่งของ 3 พันธมิตรจะทำให้โครงการมีศักยภาพในการแข่งขันในภูมิภาคนี้ยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารธนชาต และธนาคารเกียรตินาคิน ให้การสนับสนุนโครงการในวงเงินลงทุน 23,100 ล้านบาท โดยเป็นกลุ่มธนาคารที่เข้าให้การสนับสนุนการลงทุนโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อันเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติ
นายปฏิภาณ สุคนธมาน ประธานกรรมการ บริษัท GC POLYOLS จำกัด กล่าวว่าโครงการดังกล่าวจะสร้างรายได้ปีละ 1 หมื่นล้านบาท ทำให้ PTTGC ดำเนินการผลิตปิโตรเคมีสายเอทิลีนได้ครบวงจร ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโครงการมาบตาพุด เรโทฟิท ซึ่งเป็นโครงการเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นการใช้วัตถุดิบในการผลิตและเพิ่มกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ของกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ โดยทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจะใช้เงินลงทุนรวม 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 7 หมื่นล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการจะแล้วเสร็จในปี 2563
โครงการมาบตาพุด เรโทฟิทจะเสนอบอร์ดอนุมัติการลงทุนและเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 4 นี้ นับเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใน EEC โดยต้นปีหน้าจะเห็นการลงนามสัญญาร่วมทุนกับบริษัทคุราเร่ จำกัด และบริษัท ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น จำกัด จากญี่ปุ่น เพื่อผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงประเภท High Heat Resistant Polyamide-9T และผลิตภัณฑ์ยางเทอร์โมพลาสติกประเภท Hydrogenated Styrenic Block Copolymers (HSBC) ในประเทศไทย โดยโครงการนี้ทาง PTTGC จะถือหุ้นส่วนน้อยต่ำกว่า 50%
นอกจากนี้ บริษัทยังหารือกับทางซันโยเคมิคอลเพื่อแสวงหาโอกาสการร่วมทุนโครงการอื่นๆ อีกในไทยแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ขณะเดียวกัน พันธมิตรร่วมทุน คือ อาซาฮีกลาสที่ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.วีนิไทย ก็ศึกษาที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมหลังทิศทางราคาโซดาไฟดีขึ้น แต่เบื้องต้นต้องการบริหารวีนิไทยให้ดีก่อนหลังเทกโอเวอร์บริษัทดังกล่าวมาจากโซลเวย์
ปัจจุบัน พีทีที โกลบอล เคมิคอล ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ โดยมีธุรกิจหลัก 8 กลุ่ม ปัจจุบันมีกำลังการผลิตปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์รวม 9.2 ล้านตันต่อปี และมีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบและคอนเดนเสทรวม 280,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจสู่ธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Performance and Specialties Chemicals)