การบินไทยขาดทุนไตรมาส 2/60 กว่า 5.21 พันล้าน เพิ่มขึ้นถึง 78.4% เหตุมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 3.6 พันล้านจากค่าน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้น 527 ล้าน และยังมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอีก 2,431 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการรอบ 6 เดือน ปี 60 ขาดทุนสุทธิ 2,039 ล้านบาท สวนทางช่วง 6 เดือนแรกปีก่อนที่มีกำไร 3,095 ล้านบาท แผนครึ่งปีหลังเปิดบินกรุงเทพฯ-เวียนนา รับมอบเครื่องบินใหม่ 5 ลำ เดินหน้าศูนย์ซ่อมอู่ตะเภา
นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ประจำปี 2560 ขาดทุนจากการดำเนินงานธุรกิจการบิน (Operating Loss) จำนวน 1,542 ล้านบาท (ต่ำกว่าปีก่อน 13.5%) สาเหตุหลักมาจากค่าน้ำมันเครื่องบินที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันเฉลี่ยที่สูงกว่าปีก่อน 20.1% ประกอบกับรายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยต่ำกว่าปีก่อน 10.9% จากการแข่งขันที่รุนแรงและการปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมชดเชยค่าน้ำมัน (Fuel Surcharge) ถึงแม้ว่าจะมีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารสูงสุดในรอบ 10 ปีก็ตาม ทั้งนี้ เมื่อหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ผลขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงส่วนได้เสียในเงินลงทุนในบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) การด้อยค่าของสินทรัพย์และเครื่องบินและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแล้ว บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิ 5,208 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในไตรมาส 2 ของปี 2560 บริษัทฯ ขาดทุนจากการดำเนินงานลดลงจากปีก่อน 13.5% มีรายได้รวมทั้งสิ้น 45,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนประมาณ 9.6% สาเหตุสำคัญเนื่องจากรายได้จากค่าโดยสารและน้ำหนักส่วนเกินเพิ่มขึ้นจากปริมาณการขนส่งผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นถึง 21.9% ถึงแม้จะมีรายได้ผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยลดลงจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงก็ตาม ประกอบกับรายได้จากค่าระวางขนส่งและค่าไปรษณียภัณฑ์เพิ่มขึ้นจากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวดีขึ้นจากปีก่อน รวมทั้งรายได้การบริการอื่นๆ เพิ่มขึ้น สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการซ่อมบำรุงของฝ่ายช่างเพิ่มขึ้น
ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวม 46,724 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% เนื่องจากค่าน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้น 527 ล้านบาท (4.5%) จากราคาน้ำมันเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 20.1% ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น 3,390 ล้านบาท (11.3%) สาเหตุหลักเกิดจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการผลิต และปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าซ่อมแซมและซ่อมบำรุงอากาศยานเพิ่มขึ้น
บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวรวม 575 ล้านบาท และมีผลขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงส่วนได้เสียในเงินลงทุนจำนวน 428 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการลดสัดส่วนการถือหุ้นใน บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) และรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์และเครื่องบินจำนวน 390 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 2,431 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีขาดทุนสุทธิ 5,208 ล้านบาท โดยเป็นขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 5,211 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 2.39 บาท ขาดทุนสูงกว่าปีก่อน 1.05 บาท (78.4%)
โดยในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนปฏิรูปองค์กรระยะที่ 3 “การเติบโตอย่างยั่งยืน” ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ทำให้ไตรมาสนี้ ซึ่งปกติเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวบริษัทฯ มีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนถึง 21.9% โดยมีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 7.1% อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 78.5% สูงกว่าปีก่อนซึ่งเท่ากับ 69.0% ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยมีจำนวนเครื่องบินที่ใช้ในการดำเนินงาน 97 ลำ เพิ่มขึ้น 2 ลำ เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2559 จากการรับมอบเครื่องบินเช่าการเงินแบบแอร์บัส A350-900XWB ทั้งนี้ มีการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ของเครื่องบินได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Aircraft Utilization เพิ่มขึ้น 4.5% และมีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 5.87 ล้านคน สูงกว่าปีก่อน 14.9%
สำหรับผลการดําเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยครึ่งปีแรกของปี 2560 (1มกราคม-30 มิถุนายน) มีรายได้รวม 94,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3,559 ล้านบาท หรือ 3.9% มีค่าใช้จ่ายรวม 93,660 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7,631 ล้านบาทหรือ 8.9% ขาดทุนสุทธิ 2,039 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกปีก่อนมีกำไร 3,095 ล้านบาท
โดยแผนงานในช่วงครึ่งหลังปี 2560 บริษัทฯ จะเปิดจุดบินใหม่ในเส้นทางกรุงเทพฯ-เวียนนา โดยจะเริ่มทำการบินตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 จำนวน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์, รับมอบเครื่องบินใหม่ 5 ลำ ได้แก่ แอร์บัส A350-900XWB จำนวน 3 ลำ และเครื่องบินโบอิ้ง B 787-9 จำนวน 2 ลำ, ปลดระวางเครื่องบินเช่า A330-300 จำนวน 2 ลำ และดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในโครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา เป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 291,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2559 จำนวน 8,676 ล้านบาท (3.1%) หนี้สินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยเท่ากับ 260,239 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 จำนวน 10,703 ล้านบาท (4.3%) และส่วนของผู้ถือหุ้นมีจำนวน 31,561 ล้านบาท ลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2559 จำนวน 2,027 ล้านบาท (6.0%) เป็นผลมาจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดหกเดือนแรกของปีนี้