xs
xsm
sm
md
lg

“ธนจิรา” ปรับกลยุทธ์ลดเสี่ยงสู้เศรษฐกิจ เทกโอเวอร์-ลดในห้าง-ออนไลน์-รุก ตปท. ซื้อหุ้นแคทคิดสตันไทย100%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ผู้จัดการรายวัน 360 - “ธนจิรา รีเทล” ปรับกลยุทธ์ตลาดไลฟ์สไตต์ครั้งใหญ่ ลดเสี่ยง ชูแผนเด็ด “เทกโอเวอร์เสริมพอร์ต-เน้นสแตนด์อะโลน-เจาะกลุ่มแมสพรีเมียม-ขยายออนไลน์-รุกต่างประเทศ” เป้าหมายผุดครบ 100 สาขาในปี 2563 รายได้ทะลุ 1,800 ล้านบาท ทุ่ม 300 ล้านบาทคว้าสิทธิ์ทำแบรนด์ “แคท คิดสตัน”

นายธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์จากต่างต่างประเทศ เปิดเผยถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจว่า บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ในการรุกธุรกิจไลฟ์สไตล์ใหม่ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาแบรนด์ใดแบรนด์เดียว รวมทั้งสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนอย่างชัดเจนและสมดุลซึ่งเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ทั้งนี้ กลยุทธ์หลักคือ 1. การขยายธุรกิจด้วยการซื้อหุ้นหรือการควบรวมกิจการ แบบ 100% 2. การปรับแผนการขยายสาขามุ่งเน้นการเปิดแบบสแตนด์อะโลนมากขึ้นจากเดิมที่เน้นเปิดในห้างสรรพสินค้า 3. การขยายฐานตลาดไปสู่กลุ่มแมสหรือพรีเมียมแมสมากขึ้น จากเดิมเน้นกลุ่มมิดลักชัวรี และพรีเมียม เป็นหลัก

ปัจจุบันบริษัทฯ มี 5 แบรนด์ที่บริหาร คือ 1.“แพนดอร่า” เครื่องประดับจากเดนมาร์ก มี 27 สาขา 2. “โจนาธาน แอดเลอร์” สินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์จากสหรัฐอเมริกา มี 2 สาขา 3. “มารีเมกโกะ” เสื้อผ้าแฟชั่นจากฟินแลนด์ มี 4 สาขา 4. “ทิลด้า” เครื่องประดับ เป็นแบรนด์ของบริษัทฯ ผลิตขึ้นนมาเอง และล่าสุดคือ 5. “แคท คิดสตัน” สินค้าไลฟ์สไตล์จากอังกฤษ มี 35 สาขา

ตามกลยุทธ์นี้ทำให้บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้น 100% กิจการ “แคท คิดสตัน” ในประเทศไทยจากผู้รับสิทธิ์เดิม โดยมีมูลค่าการซื้อกว่า 300 ล้านบาท และเริ่มบริหารธุรกิจเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ทำให้มีสินค้าแบรนด์ใหม่เข้ามาในพอร์ตและเป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายระดับพรีเมียมแมสด้วย นอกจากนั้นยังอยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายดีลแต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก โดยจะเน้นไปที่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ แฟชั่น อาหารและเครื่องดื่ม ที่มียอดขายต่อปีประมาณ 300 ล้านบาท ธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีและมีสัดส่วนของกำไรขั้นต้นที่ใกล้เคียงกับแบรนด์อื่นๆ ในพอร์ตโฟลิโอที่บริหารอยู่ หรือประมาณ 15% ตามนโยบายที่ตั้งไว้

“การปรับทิศเน้นทำเลการเปิดสาขาแบบสแตนด์อะโลน เนื่องจากยอดขายในร้านสแตนด์อะโลนจะมีมากกว่าห้างสรรพสินค้าประมาณ 30% มีพื้นที่เป็นของเราเองตายตัว ขายได้เท่าไรก็จะได้มากเท่านั้นเพราะเสียค่าเช่าตายตัว แต่หากขายในห้างทางห้างคิดเป็นค่าจีพี ขายได้มากเท่าใดก็ต้องแบ่งให้กับห้างมากเท่านั้น อีกทั้งการอยู่สแตนด์อะโลนมีความคล่องตัวในแง่การบริหารจัดการ การทำโปรโมชัน”
อภิชัย ผลโกศล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน
สำหรับ “แพนดอร่า” ปีนี้จะเปิดอีก 3 สาขา เป็นสแตนด์อะโลนถึง 2 สาขา ที่เซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่ และเซ็นทรัลโคราช และในห้าง 1 สาขา จากเดิมมีสแตนด์อะโลน 13 สาขา และในห้าง 14 สาขา, แบรนด์ “มารีเมกโกะ” จะเปิดอีก 1 สาขา เป็นสแตนด์อะโลนจากเดิมมีสแตนด์อะโลน 2 สาขาและในห้าง 2 สาขา, แบรนด์ “โจนาธาน แอดเลอร์” ปีนี้ยังไม่มีแผนเพิ่มสาขา, แบรนด์ “ทิลด้า” จะเปิดอีก 1 สาขา เป็นสแตนด์อะโลน

ส่วนแบรนด์ “แคท คิดสตัน” ปีนี้จะเปิดอีก 1 สาขาเป็นสแตนด์อะโลน ที่เซ็นทรัลเวสต์เกต จากเดิมมีสแตนด์อะโลน 15 สาขาและในห้าง 20 สาขา ซึ่งแผนของ “แคท คิดสตัน” จะเปิดเฉลี่ยปีละ 3 สาขา พื้นที่เฉลี่ย 75 ตารางเมตร อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายมีสาขาทุกแบรนด์รวมเป็น 100 สาขาภายในปี 2563

นอกจากนั้นยังมีแผนขยายธุรกิจด้านออนไลน์ด้วย ซึ่ง “แคท คิดสตัน” ผู้รับสิทธิ์รายเดิมทำมาก่อนแล้ว ส่วนแบรนด์อื่นจะทยอยทำซึ่งจะต้องมีการเจรจาและได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของแบรนด์ก่อนด้วย โดยมีแผนจะทำเป็นมาร์เกตเพลซแล้วนำแบรนด์ที่มีอยู่มาจำหน่าย ส่วนแบรนด์ “มารีเมกโกะ” จะเริ่มออนไลน์ซื้อขายได้วันที่ 1 สิงหาคมนี้

นายธนพงษ์ยังกล่าวด้วยว่า ยังสนใจที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะในเออีซีและอาเซียน ล่าสุด “แคท คิดสตัน” มีการเจรจาสิทธิ์ในตลาดเวียดนามด้วย ส่วนที่สิงคโปร์ก็สนใจซึ่งมีรายเดิมได้รับสิทธิ์ทำอยู่แต่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนใหม่

การขยายธุรกิจต่างๆ ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก นายอภิชัย ผลโกศล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปี 2563 เพื่อระดมทุนขยายกิจการและสร้างความยั่งยืน โดยปีนี้ต้องใช้งบลงทุนประมาณ 60 ล้านบาทขยายสาขาต่างๆ และใช้งบ 50 ล้านบาทในการทำตลาดรวมกัน ตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ไว้ที่ 1,100 ล้านบาท จากปี 2559 ที่มีรายได้รวมประมาณ 500 ล้านบาท มีกำไรประมาณ 20%

สำหรับผลประกอบการ ตั้งแต่ปี 2554-2559 เติบโตเฉลี่ยปีละ 91% ขณะที่ปี 2560 มีรายได้ 1,000 ล้านบาท ปี 2561 มีรายได้ 1,300 ล้านบาท ปี 2562 มีรายได้ 1,500 ล้านบาท และปี 2563 คาดมีรายได้ 1,800 ล้านบาท เติบโต 32% หากพิจารณาสัดส่วนรายได้เดิมในปี 2559 พบว่า “แพนดอร่า” มากถึง 85%, “มารีเมกโกะ” 10% “โจนาธาน แอดเลอร์” 2% และ “ทิลดา” 1% แต่ปี 2560 ตั้งเป้าหมายสัดส่วนเป็น “แพนดอร่า” เหลือ 57% “ แคท คิดสตัน” 34% “มารีเมกโกะ” 6% “โจนาธาน แอดเลอร์” 2% และ “ทิลด้า” 1%



กำลังโหลดความคิดเห็น