“พาณิชย์” ทำงานล่วงหน้า โชว์ผลวิเคราะห์ขึ้นค่า Ft พบกระทบต้นทุนสินค้าแค่ 0.0001-0.1886% หรือกระทบแค่หลักสตางค์ จะมาใช้เป็นข้ออ้างขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ ส่วนยอดร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 ล่าสุดมี 1,891 ราย ร้องเรียนอาหารเครื่องดื่มสูงสุด ย้ำได้สั่งดำเนินคดีพ่อค้าแม่ค้าที่เอาเปรียบเด็ดขาดแล้ว
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ทำการศึกษาโครงสร้างต้นทุนของราคาสินค้าหากมีการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2560 เพิ่มขึ้น 8.87 สตางค์ต่อหน่วยเป็นการล่วงหน้า เพราะขณะนี้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยังอยู่ระหว่างการประกาศรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ได้ข้อยุติ โดยพบว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าน้อยมากแค่ 0.0001-0.1886% หรือแทบจะไม่มีผลกระทบเลย จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ประกอบการจะใช้เป็นข้ออ้างในการปรับขึ้นราคาจำหน่ายสินค้า
ทั้งนี้ ผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้า เช่น อาหารปรุงสำเร็จ (ข้าวกะเพรา) จานละ 35 บาท มีผลกระทบ 0.06% หรือเพิ่มขึ้นจานละ 0.02 บาท ปลากระป๋อง กระทบ 0.0198% หรือกระป๋องละ 0.0033 บาท แชมพูสระผม กระทบ 0.0024% หรือขวดละ 0.0014 บาท กระดาษชำระ กระทบ 0.0692% หรือม้วนละ 0.0091 บาท แบตเตอรี่ กระทบ 0.0593% หรือลูกละ 1.3587 บาท สังกะสี กระทบ 0.0098% หรือแผ่นละ 0.0019 บาท น้ำมันหล่อลื่น กระทบ 0.0005% หรือกระป๋องละ 0.0029 บาท และเครื่องแบบนักเรียน กระทบ 0.0132% หรือตัวละ 0.0222 บาท
“ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในดำเนินการตรวจสอบการค้าขายทุกช่วงการค้าอย่างใกล้ชิด ทั้งจากโรงงาน ไปถึงตัวแทนจำหน่าย ผู้ค้าส่ง และผู้บริโภค เพื่อป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคา และยังได้จัดส่งสายตรวจออกตรวจสอบราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด โดยในกรุงเทพฯ มี 9 สาย และในต่างจังหวัดมอบพาณิชย์จังหวัดและค้าภายในจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ” นางอภิรดีกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบว่ามีการปรับราคาจำหน่ายสินค้าสูงขึ้นขอให้ร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 ซึ่งกรมการค้าภายในจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบทันที และหากพบการกระทำความผิดจริง จะมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นางอภิรดีกล่าวว่า สำหรับการรับเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 ในช่วงปีงบประมาณ 2560 (ต.ค. 2559-มิ.ย. 2560) มีการร้องเรียนทั้งสิ้น 1,891 ราย โดยเป็นการร้องเรียนหมวดอาหารและเครื่องดื่มมีราคาแพงสูงสุดถึง 770 ราย รองลงมาคือ หมวดของใช้ส่วนบุคคล 326 ราย หมวดเกษตรกรรม 226 ราย บริการ 96 ราย ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 75 ราย ยานยนต์และอุปกรณ์ 28 ราย ของใช้ประจำบ้าน 27 ราย วัสดุก่อสร้าง 20 ราย กระดาษและเครื่องเขียน 17 ราย เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 16 ราย และอื่นๆ 290 ราย
ส่วนพฤติการณ์การร้องเรียน ส่วนใหญ่ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายปลีก รองลงมาเป็นการจำหน่ายราคาแพง เอาเปรียบเครื่องชั่ง แสดงราคาจำหน่ายปลีกไม่ตรงกับราคาที่จำหน่าย ปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้น กดราคารับซื้อสินค้าเกษตร กักตุนสินค้า เป็นต้น
“เมื่อรับเรื่องร้องเรียนเข้ามาแล้ว ขอให้มีการไปตรวจสอบทุกกรณี และหากพบพ่อค้าแม่ค้ามีการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคจริง ก็ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่าง และให้รู้ว่ากระทรวงฯ เอาจริงในการดูแลปัญหาปากท้องให้กับประชาชน” นางอภิรดีกล่าว